07 สิงหาคม 2557

บทความพิเศษ : วันต่อต้านเพลงดิสโก้ Disco Demolition Night

12 กรกฎาคม 1979
"วันต่อต้านเพลงดิสโก้" (Disco Demolition Night)

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 1979 ได้เกิดเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ดนตรีที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือการรวมตัวต่อต้านแนวเพลงดิสโก้โดยกลุ่มศิลปินและกลุ่มแฟนคลับเพลงแนวร็อค

ก่อนหน้านี้ แนวเพลงดิสโก้ถือว่าเป็นแนวเพลงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงปี 1975-1979 โดยคำว่าดิสโก้นั้น มีที่มาจากคำว่า Discovery เนื่องจากในช่วงกลางยุค 70 ได้เริ่มมีการใช้เครื่อง turntable หรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงในคลับต่างๆแทนวงดนตรี คนจึงเรียกช่วงสมัยนี้ว่า "the great discovery" หรือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่มาของคำว่าดิสโก้ แน่นอนว่าในช่วงสมัยนี้นักดนตรีหลายคนต้องตกงาน จนถึงขนาดว่ามีการจัดคอนเสิร์ตเพื่อช่วยเหลือนักดนตรีตกงานกันเลยทีเดียว

อีกที่มาหนึ่ง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า discothèque ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าห้องสมุดแผ่นเสียงหรือห้องเก็บแผ่นเสียง ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกไนท์คลับในกรุงปารีส

แนวเพลงดิสโก้ได้รับอิทธิพลมาจากแนวเพลง Soul, Funk, Latin โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะ Salsa และยังส่งอิทธิพลต่อเพลงอีกหลายๆแนวเพลงไม่ว่าจะเป็น House, Synthpop, Dance, Club Dance ในปัจจุบัน ในช่วงแรกที่ยุคดิสโก้เฟื่องฟู มีเพลงฮิตติดชาร์ตมากมายตัวอย่างเช่น "Fly Robin Fly", "Rock The Boat", "Love's Theme", "The Hustle" และเพลงที่ถือได้ว่าเป็นอมตะตลอดกาลซึ่งน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก นั่นก็คือเพลง "I Will Survive"

วัฒนธรรมดิสโก้มักถูกกล่าวถึงในเชิงเพศที่สาม ชนผิวดำ เซ็กซ์ ยาเสพติด รักร่วมเพศ ความหรูหรา โอ่อ่าและฟุ่มเฟือย ด้วยเหตุนี้ในปลายยุค 70 ได้เริ่มมีการรวมกลุ่มกันของศิลปินชาวร็อคเพื่อแสดงกิริยาต่อต้านต่อวัฒนธรรมดิสโก้ เกิดเหตุการณ์ประท้วงและร่วมรณรงค์ต่อต้านดิสโก้ขึ้นอย่างมากมาย มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ผ่านสื่อดนตรีและภาพยนตร์ต่างๆ มีการใส่เสื้อภายใต้สโลแกน "Disco sucks" และ "Death to disco" กันอย่างกว้างขวาง การต่อต้านได้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งในวันที่ 12 กรกฎาคม 1979 ได้มีการต่อต้านวัฒนธรรมดิสโก้ที่รุนแรงที่สุด ณ Comiskey park เมืองชิคาโก ในระหว่างการแข่งขันเบสบอลของทีม Chicago White Sox พบกับ Detroit Tigers ในข่วงของการแข่งขัน กลุ่มจลาจลได้เริ่มทยอยเดินลงจากอัฒจรรย์และบริเวณภายนอกสนามเข้าสู่สนาม กลุ่มผู้ประท้วงกว่าหลายพันคนเริ่มโห่ร้องตะโกน มีการพูดผ่านเครื่องขยายเสียงภายใต้การนำของ Steve Dahl มีการทิ้งแผ่นเสียงดิสโก้มากมาย เหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในงานคือการเผาและระเบิดแผ่นดิสโก้ทิ้งภายในสนามเบสบอล หลังจากการประท้วง มีผู้บาดเจ็บนับประมาณได้ 30 คน และมีผู้ถูกจับกุมได้ประมาณ 40 คน

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา แนวเพลงดิสโก้เริ่มค่อยๆทยอยหายออกไปจากชาร์ตเพลงของสหรัฐฯ และกระแสเพลง Rock, Country และ New Wave ได้เริ่มเข้ามาแทนที่ วงดนตรีดิสโก้ชื่อดังต่างๆไม่ว่าจะเป็น Chic, Boney M, Silver Convention ฯลฯ เริ่มแยกตัวกัน หลายๆวงที่มีชื่อเสียงในยุคดิสโก้ต่างเริ่มเปลี่ยนแนวเพลงไปตามยุคสมัย วัฒนธรรมดิสโก้ถูกมองว่าเชย ล้าสมัยและหลงยุค นับว่าเป็นการปิดฉากแนวดนตรีดิสโก้อย่างเป็นทางการ

กระนั้นก็ตาม เพียงระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี ก็ได้เกิดแนวเพลงที่คล้ายคลึงกับแนวดิสโก้หรือที่รู้จักกันในนาม Post-disco เพลงที่รู้จักกันดีตัวอย่างเช่น "Let's groove", "Billie Jeans", "I wanna be your love", "Get down on it" ศิลปินชื่อดังหลายคนในยุค 80 ต่างก็แต่งเพลงที่มีลักษณะกลิ่นอายของดิสโก้ประกอบอยู่เช่น Madonna, Michael Jackson, Earth Wind & Fire, Kool & the Gang, Prince จวบจนปัจจุบัน อิทธิพลของแนวเพลงดิสโก้ก็ยังคงแทรกซึมและแฝงอยู่ในผลงานของศิลปินชื่อดังต่างๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป แม้จะมีกระแสต่อต้านที่รุนแรงเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำลายอิทธิพลของแนวเพลงดิสโก้ลงไปได้ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวเพลงที่เป็นอมตะ และสามารถตรึงใจคนได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ

DISCO NEVER DIED






ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น