13 สิงหาคม 2557

บทความพิเศษ : Billie Jean เพลงพลิกโลก

คงจะไม่เป็นการกล่าวยกย่องจนเกินไปถ้าจะบอกว่าเพลง Billie Jean คือหนึ่งในเพลงที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์วงการเพลงของโลกเพลงหนึ่ง เพราะเพลงนี้ได้สร้างเหตุการณ์สำคัญหลายๆเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำ MV การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ชองช่อง MTV การฉาย MV ของคนผิวดำครั้งแรกผ่าน MTV ท่าเต้น Moonwalk และกระแสเลียนแบบ Michael Jackson

หลังจากการปฏิวัติแนวดนตรีจากแนวคลาสสิกที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และการประสานเสียงที่มีเหตุผล มาสู่ยุคโรแมนติกที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความแปลกใหม่โดย Beethoven นักดนตรีอัจฉริยะผู้ที่แต่งเพลง Symphony No.9 ทั้งๆที่หูหนวกสนิทแล้ว แต่บทเพลงก็ยิ่งใหญ่และอยู่ในหัวใจของคนทุกยุคทุกสมัย ยิ่งใหญ่จนขนาดที่องค์กรอย่าง "สหภาพยุโรป" หรือ EU ได้นำเพลงนี้ไปเป็นเพลงประจำสดุดีและเพลง Theme ประจำองค์กร

หลังจากยุคนั้นเป็นต้นมา ก็เริ่มมีการปฏิวัติและกระแสแนวเพลงใหม่ๆกำเนิดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Impressionist โดย Debussy, Ravel การเข้าสู่เพลงร่วมสมัยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ตอนต้นโดยศิลปินอย่าง Prokofiev, Copland แนวเพลงแจ๊สที่เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง จนเป็นที่นิยมถึงขีดสุดในช่วงทศวรรษ 40's และ 50's ที่มีเพลงแนว Swing และ Bebop บรรเลงไปทั่วบ้านทั่วเมือง การบุกเบิกเพลงแจ๊สแนวใหม่สไตล์ Cool Jazz โดย Miles Davis ในช่วงปลายทศวรรษ 50's กระแสป็อปที่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วง 60's การผลิตเครื่องดนตรีสังเคราะห์จนนำไปสู่แนวเพลงดิสโก้ในยุคปลาย 70's และการล่มสลายของแนวเพลงดิสโก้ในปี 1979 โดยกลุ่มผู้ประท้วงและผู้ต่อต้านแนวเพลงดิสโก้

จนกระทั่งในปีคริสตศักราช 1983 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการเพลงอีกครั้งหนึ่งโดยศิลปินอมตะตลอดกาล "Michael Jackson" ซึ่งได้ฝากผลงานอมตะในขณะที่ยังเป็นศิลปินกลุ่ม "The Jackson 5" มาแล้วหลายเพลง อาทิ "I Want You Back", "I'll Be There", "Never Can Say Goodbye" เป็นต้น

ไมเคิลได้เริ่มแยกตัวออกจากวงและทำอัลบั้มเดี่ยวในปี 1971 ภายใต้ชื่อ "Got To Be There" ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับวง The Jackson 5 ที่เคยสังกัดอยู่ ไมเคิลทำอัลบั้มเดี่ยวภายใต้ค่ายเพลง Motown อยู่ 4 อัลบั้ม จนกระทั่งในปี 1975 ไมเคิลได้ย้ายค่ายไปอยู่ใรสังกัดของค่าย Epic และได้เริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวที่ 5 ภายใต้ชื่อ "Off The Wall" ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มที่ได้เริ่มสร้างชื่อเสียงและทำให้ไมเคิลเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะศิลปินเดี่ยว และก็ยังเป็นอัลบั้มแรกที่ไมเคิลเปลี่ยนแนวเพลงจาก Rhythm & Blues มาเป็นแนว Disco, Funk อย่างเต็มตัว มีเพลงที่ฮิตติดชาร์ตอยู่หลายเพลงเช่น "Don't Stop 'Till You Get Enough", "Rock With You"

และในปี 1983 ไมเคิลได้ปล่อยอัลบั้มเดี่ยวที่ 6 ในชื่อ "Thriller" โดยได้ปล่อยเพลง "The Girl Is Mine" ซึ่งจับมือร่วมกับศิลปินจากวงที่ฮอตที่สุดในยุค 60's "Paul McCartney" จากวง The Beatles และก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี โดยขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 2 ในชาร์ต Billboard Hot 100

จนกระทั่งในวันที่ 3 มกราคม 1983 ไมเคิลได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้ม ในชื่อ "Billie Jean" ซึ่งได้สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญให้กับโลกและตัวไมเคิลเอง โดยได้ติดชาร์ตอันดับ 1 นานถึง 7 สัปดาห์ และทำให้อัลบั้ม "Thriller" กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

จริงๆแล้ว เพลงนี้เกือบจะไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มแล้ว เนื่องจาก Quincy Jones โปรดิวเซอร์ไม่ต้องการให้เพลงนี้ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเพลงฟังดูอ่อนแอเกินกว่าที่จะอยู่ในอัลบั้มนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ควินซีเองก็ไม่ชอบไลน์เบสภายในเพลงด้วย เขาขอให้ไมเคิลตัดช่วง 29 วินาทีแรกที่เป็นช่วงอินโทรออกไป แต่กลับได้รับการตอบจากไมเคิลว่า "แต่นี่คือส่วนที่เยี่ยมที่สุดเชียวนะ มันทำให้ผมอยากที่จะเต้น"

"และเมื่อไมเคิลพูดกับเราว่า 'มันทำให้ผมอยากที่จะเต้น' พวกเราที่เหลือก็เลยหุบปากไม่พูดต่อ" ควินซีกล่าว

กล่าวกันว่าไมเคิลแจ็คสันเขียนเพลงนี้จากประสบการณ์ที่เขาและพี่น้องใน The Jackson 5 ได้พบเห็น "Billie Jean คือบุคคลนิรนาม กล่าวถึงผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่เรียกกันว่า Groupie (ผู้คลั่งไคล้ดารา) พวกเธอเดินไปมาหลังเวที ผมเขียนเพลงนี้จากประสบการณ์ที่พวกเราพี่น้องได้พบเห็นเมื่อเรายังหนุ่ม มีคนที่เป็น Billie Jean มากมาย พวกเธอเหล่านั้นล้วนอ้างว่ามีความสัมพันธ์และมีลูกกับหนึ่งในพี่น้องของเรา" ไมเคิลกล่าว

แต่ J. Randy Taraborrelli นักเขียนชีวประวัติ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ Billie Jean ไว้ในหนังสือ The Magic & The Madness ว่า Billie Jean คือประสบการณ์จริงที่เกิดกับตัวไม่เคิลเอง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เขียนจดหมายมาหาไมเคิลว่าเธอได้มีลูกแฝดกับไมเคิล ตัวไมเคิลผู้ที่ได้รับจดหมายทำนองนี้อยู่เป็นปกติ ก็ได้ปฏิเสธแล้วบอกว่าตนไม่เคยพบเธอและเพิกเฉยต่อจดหมาย อย่างไรก็ตาม เธอยังคงส่งจดหมายมาหาไมเคิลเรื่อยๆ พร้อมกล่าวว่าเธอรักเขาและต้องการอยู่กับเขา เธอเขียนว่าพวกเราจะมีความสุขกันมากถ้าพวกเราพร้อมลูกๆอยู่ด้วยกัน เธอคร่ำครวญว่าทำไมไมเคิลถึงปฏิเสธลูกของตัวเองได้ลงคอ จดหมายนี้รบกวนไมเคิลและทำให้เขาฝันร้ายในหลายๆคืน เหตุการณ์ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ไม่เคิลยังได้รับพัสดุที่มีรูปของเธอและรูปปืน ทำให้ไมเคิลหวาดกลัวมาก เธอยังเขียนขอร้องให้ไมเคิลฆ่าตัวตายตามวันและเวลาที่ได้ระบุไว้ และเธอเองจะฆ่าตัวตายพร้อมๆกับลูกๆของเธอด้วย หลังจากเหตุการณ์ ไมเคิลได้ทราบว่าแฟนเพลงสาวของเขาได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลประสาท

ทันทีที่ไมเคิลเริ่มเขียนเพลงนี้ ไมเคิลสัมผัสได้ว่าเพลงนี้จะต้องดังอย่างแน่นอน "นักดนตรีรู้จักองค์ประกอบที่ทำให้เพลงฮิต ทุกๆอย่างมันจะต้องถูกที่ เติมเต็ม และทำให้คุณรู้สึกดี ผมรู้สึกอย่างนั้นกับเพลง Billie Jean อย่างมาก และผมรู้ว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่ทันทีที่ผมได้เขียนมัน" ไมเคิลอธิบายว่าเขารู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างจากเพลง

ในตอกแรก Quincy Jones ต้องการจะเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น "Not My Lover" เนื่องจากกลัวจะไปซ้ำกับชื่อของนักเทนนิสหญิง Billie Jean King แต่ไมเคิลปฏิเสธ พร้อมทั้งยังขอควินซีว่าเขาขอเครดิตในการเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับควินซีด้วย เนื่องจากเดโมที่ทำมานั้นใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นอกจากนั้น ไมเคิลยังขอส่วนแบ่งพิเศษในค่าลิขสิทธิ์ด้วย คำขอนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกแย่ต่อกันไปหลายวันเลยทีเดียว

เพลงนี้ถูกมิกซ์โดย Bruce Swedien ผู้ที่โดยปกติแล้วจะมิกซ์เพลงรอบเดียวผ่าน แต่สำหรับเพลงนี้ เขาต้องใช้เวลามิกซ์ถึง 91 รอบ ควินซีได้บอกให้บรูซสร้างเสียงกลองที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน

Billie Jean คือเพลงที่มีส่วนผสมระหว่างจังหวะแนว Post-Disco, Rhythm & Blues, Funk และ Dance-Pop เข้าด้วยกัน เพลงเริ่มต้นด้วยจังหวะกลองพื้นฐานพร้อมๆกับ Hi-Hat ซึ่งใส่ Reverb ค่อนข้างหนัก หลังจากสองห้อง Hi-Hat เปิด ได้เข้ามา ตามมาติดๆด้วยไลน์เบสซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำที่สุดของเพลงนี้ มีเสียงกระซิบของไมเคิลตามมาหลังจากนั้น ปรากฎเสียงสะอึกของไมเคิลอยู่ทั่วไปภายในเพลง

MV ของเพลง Billie Jean ถือได้ว่าเป็น MV ที่มีส่วนในการปฏิวัติการทำ MV ของเพลงอื่นๆหลังจากนั้นเลยทีเดียว เนื่องจาก MV ในสมัยก่อนนั้น มักจะมีการถ่ายทำโดยให้นักร้องยืนร้องเพลงอยู่บนเวที ไม่ก็เดินร้องเพลงไปมาตามสถายที่ต่างๆมากกว่า แต่ใน MV Billie Jean ของไมเคิล เริ่มปรากฎเรื่องราวและเนื้อหาที่คล้ายกับภาพยนตร์สั้น พร้อมกับบันทึกภาพตามสถานที่ต่างๆอย่างมีรายละเอียด เหมือนเป็นการเล่าเรื่องและเป็นส่วนขยายของเพลง ทำให้ MV ตัวนี้ ส่งอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อการทำ MV ในรุ่นหลังๆต่อมา

ไม่เพียงเท่านั้น MV ตัวนี้ ยังเป็น MV ตัวแรกของคนผิวดำที่ได้ฉายบนช่อง MTV โดยก่อนหน้านี้ MTV มีนโยบายฉายแต่ MV ของคนผิวขาว โดยให้เหตุผลว่า "เพลงของคนดำนั้นไม่ร็อคพอ" สร้างความโมโหให้กับ Walter Yetnikoff ประธานค่ายเพลง CBS ของไมเคิลเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกปฏิเสธที่จะฉาย MV Billie Jean วอลเตอร์ขู่ MTV ว่าจะประจานให้สาธารณะและสื่อมวลชนฟังว่า MTV นั้นเหยียดผิว ทำให้ MTV ต้องจำใจฉาย MV Billie Jean ในที่สุด

แต่นั่นกลับสร้างปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับ MTV เป็นอย่างมาก เพราะจากช่องที่มีผู้ติดตามเพียงกลุ่มเล็กๆ กลับกลายเป็นช่องทีวีที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีคนดูทั่วทั้งอเมริกา MTV เปิด MV Billie Jean วนไปมาไม่หยุด เป็นเหตุทำให้ยอดขายของอัลบั้ม Thriller สูงขึ้นไปอีก ภายหลัง MTV ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องการเหยียดผิวกับสื่อมวลชน

ที่งานรำลึก "Motown 25: Yesterday, Today, Forever" ในวันที่ 25 มีนาคม 1983 ไมเคิลถูกเชิญให้ไปร่วมเล่นในงานพร้อมกับพี่น้อง The Jackson 5 ในตอนแรกไมเคิลปฏิเสธเนื่องจากไม่ต้องการที่จะแสดงร่วมกับพี่น้องอีก แต่ในภายหลัง ไมเคิลตอบรับ พร้อมขอช่วงเวลาในการแสดงเดี่ยวด้วย และแน่นอน ไมเคิลเลือกเพลง Billie Jean เป็นเพลงในการแสดงเดี่ยว

ภายในงาน มีศิลปินยุค Oldies มาร่วมแสดงอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Marvin Gaye, Smokey Robinson, Mary Wells พี่น้อง The Jackson 5 แสดงบนเวทีเป็นเวลาต่อมา หลังจากจบการแสดงของวง ก็ถึงเวลาที่ไมเคิลจะเดี่ยวบนเวที ไมเคิลในชุดสีดำ ใส่หมวก รองเท้าหนัง สวมถุงมือสีขาว เริ่มออกลีลาในการเต้น

จนเมื่อผ่านไปได้ครึ่งเพลง ไมเคิลได้สร้างปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยท่าเต้น "Moonwalk" ครั้งแรกของไมเคิล เหตุการณ์สร้างความอัศจรรย์และทำให้คนดูภายในงานกรี๊ดลั่นไปทั่ว ผู้ชมกว่า 50 ล้านคน ต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์นี้พร้อมกันเป็นครั้งแรก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้อัลบั้ม Thriller ได้รับยอดขายที่เพิ่มขึ้นไปอีก เกิดกระแส Michael Jackson Fever ไปทั่วโลก ทุกคนแต่งตัวเหมือนไมเคิล อยากเป็นเหมือนไมเคิล จนกระทั่งบริษัทเป๊ปซี่ติดต่อขอให้ไมเคิลรับงานโฆษณา และอีกครั้งหนึ่ง ไมเคิลเลือกเพลง Billie Jean เป็นเพลง Theme

อัลบั้ม Thriller ได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีในเวลาต่อมา

ทั้งหมดนี้ ยืนยันและพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Michael Jackson เหมาะและสมควรคู่ควรกับตำแหน่ง "King of Pop" มากเพียงไหน เพลง Billie Jean ที่เกือบจะถูกถอดออกจากอัลบั้ม กลับกลายเป็นเพลงที่สร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงให้กับไมเคิลอย่างมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นับว่าเป็นเพลงที่เรียบง่าย แต่ลงตัว เป็นเพลงที่ติดหูและตรึงใจคนทั้งโลกอย่างแท้จริง

แม้ว่าราชาเพลงป๊อปจะได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ศิลปินคนนี้ก็ได้ฝากผลงานและความทรงจำที่คนทั้งโลกจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงอมตะที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มากกว่า 10 เพลง เนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยความรักในเพื่อนมนุษย์และการเปลี่ยนโลก ที่สำคัญ ยังมีอีกหลายบทเพลงซึ่งคาดไว้ว่าไม่ต่ำกว่า 100 เพลง ที่ไมเคิลได้แต่งไว้แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมา ซึ่งตอนนี้ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ Sony Music ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะปล่อยเพลงของไมเคิลที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหน ออกมาเป็นอัลบั้มเรื่อยๆอย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าศิลปินคนนี้จะยังคงเป็นที่กล่าวถึงและตรึงใจคนทั้งโลกไปอีกหลาย 10 ปีเลยทีเดียว





ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น