Artist : Jason Mraz
Year Released : 2012
Genre : Pop Rock, Folk, Acoustic Music
Musicagape : 4/5 Stars
อีกหนึ่งอัลบั้มที่ศิลปิน Jason Mraz ทำออกมาได้อย่างละมุนและนุ่มนวล กับอัลบั้มล่าสุดภายใต้ชื่อ "Love Is A Four Letter Word" ซึ่งเจ้าตัวถึงกับออกปากพูดบน MySpace ไว้ว่าขั้นตอนในการทำอัลบั้มนี้จะไม่เหมือนอัลบั้มก่อนๆอย่างแน่นอน เจสันยังร่วมแต่งเนื้อเพลงกับ Dido ซึ่งโด่งดังจากเพลงอย่าง "White Flag" และ "Thank You" มาแล้วด้วย
อัลบั้มนี้มีความหลากหลายของแนวดนตรีพอสมควร แต่ก็ฟังต่อเนื่องเป็นเอกภาพ ทุกอย่างในอัลบั้มฟังดูลื่นไหลและลงตัวไปหมด ดนตรีค่อนข้างละเอียด มีความเป็น Acoustic มากขึ้นกว่าอัลบั้มก่อนๆ ตัวอัลบั้มฟังสบาย ทุกบทเพลงมีความหมายดี จริงๆแล้วเป็นความตั้งใจของตัวเจสันเอง ที่ต้องการสร้างอัลบั้มแห่ง "รัก" ขึ้นมาสักอัลบั้ม
ผู้เขียนค่อนข้างประหลาดใจว่าทำไมนักวิจารณ์กระแสหลักถึงให้คะแนนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นักวิจารณ์ Bill Lamb จาก About.com ได้ให้ความเห็นไว้ว่า "เพลงเหล่านี้เป็นประดุจเพชรเม็ดแท้ แต่เพลงที่นุ่มนวลเหล่านี้ไม่ควรจะได้ยินมากเกินกว่าหนึ่งหรือสองเพลง" Loh Chuan Junn จาก Media Corp กล่าวว่า "ทุกเพลงในอัลบั้มนี้น่าฟัง แต่เมื่อมันมารวมกันเป็นอัลบั้ม เจสันใช้จังหวะเร่งเร้าอย่างไม่มีหยุดพัก และความรักโรแมนติกอันแสนเลี่ยนเหล่านี้อาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับแม้พวกที่ไม่ค่อยมีนิสัยชอบถากถางเท่าไหร่" ดูเหมือนว่ากระแสเหล่านักจิจารณ์เหล่านี้จะโจมตีไปที่เนื้อร้องแง่บวกและแนวเพลงที่ชวนให้ง่วงนอนเสียส่วนใหญ่
คงจะเป็นเพราะอัลบั้มของเจสันเกิดผิดยุค สวนทางกับกระแสเพลง EDM ในยุคสมัย ประกอบกับด้วยเนื้อหาของเพลงที่ฟังดูสดใสจนเกินไป ทำให้เหล่านักวิจารณ์ต่างลดคะแนนกันอย่างมากมาย แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว หากเราตัดประเด็นเรื่องแนวเพลงที่ชวนง่วงนอนและเหมาะกับการเปิดเป็น Background Music ออกไป ทุกๆเพลงเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าและเป็นประดุจเพชรเม็ดแท้จริงๆ ไม่มีเพลงไหนที่ไม่เพราะเลยในมุมมองของผู้เขียน เจสันเป็นผู้ชายที่กล้ายืนหยัดแนวเพลงตัวเองท่ามกลางกระแสอิเลคโทรนิคร่วมสมัย เป็นเหมือนทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เขียวขจีสวยงามจากธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงสีเสียงจอมปลอมที่มนุษย์สรรค์สร้าง เจสันได้ดึงเนื้อแท้ของเสียงเครื่องดนตรีให้ออกมาได้ไพเราะและน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าถ้าผู้ฟังได้เปิดอัลบั้มนี้ฟังเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งต่อๆมา ผู้ฟังจะเริ่มได้ยินเนื้อแท้และเสียงบางอย่างที่จะดึงดูดให้ต้องประทับใจในอัลบั้มนี้แน่นอน
Track-By-Track
-The Freedom Song : ฟังสนุกสนานคล้ายๆกับเพลง "Butterfly" ของตัวเจสันเอง และเป็นเพียงหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่เจสันไม่ได้แต่งเอง
-Living in the Moment : เพลง Acoustic สบายๆ ได้อารมณ์คล้ายๆเพลงของ สิงโต นำโชค
-The Woman I Love : เพลงไสต์ Country Pop เพราะๆ ซึ่งเจสันได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมพยายามที่จะรักษาเพลงของผมให้มีความเป็นกลางทางเพศ แม้เพลงนี้จะชื่อว่า 'The Woman I Love' แต่ผมต้องการแต่งเพลงนี้เพื่ออุทิศให้กับผู้ชายที่อยู่ในความสัมพันธ์ บ่อยครั้งผู้หญิงรู้สึกสูญเสียสำคัญของตัวเองและทำให้เธอทำตัวบ้าคลั่งในบางเวลา มันขึ้นอยู่กับคู่รักที่จะรักกันจากข้างในขอกันและกันในอย่างที่พวกเขาเป็นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เพลงต้องการจะบอก"
-I Won't Give Up : ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม ที่มีเนื้อหาของเพลงกระแทกใจเป็นอย่างยิ่ง ความหมายเพลงไม่ได้ไร้สาระเพียงแค่หนุ่มจีบสาว สาวจีบหนุ่ม เธอรักฉัน ฉันรักเธอ แต่ลึกซึ้งลงไปกว่ามาก การบอกกับคนรักว่าแม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจ เหตุการณ์จะแย่ขนาดไหน แต่ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ในเรื่องของเรา สัมผัสได้เลยว่าศิลปินคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวที่ลึกซึ้งมามาก ถึงสามารถแต่งเนื้อเพลงที่กินใจออกมาได้เพียงนี้
-5/6 : เพลงสไตล์ Acoustic Pop Jazz ที่เล่นกับจังหวะซึ่งอาจสร้างความประหลาดใจและความงุนงงแก่ผู้ฟังพอสมควร แต่เป็นหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่ผู้เขียนชอบเลยทีเดียว
-Everything is Sound : เพลงแนว Acoustic Pop ที่บอกเล่าความสุขและยินดีผ่านเสียงร้องของเจสัน เจอสันให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้บอกเล่าถึงประสบการณ์และทัศนะมุมมองต่างๆของเขา
-93 Million Miles : สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลในบทเพลง เพลงนี้กล่าวถึงระยะทางระหว่างพระอาทิตย์กับโลกที่ห่างกันถึง 93 ล้านไมล์ และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบนโลก ทุกๆที่นั้นคือบ้านของเรา บ้านอยู่ในใจของเรา อยู่ที่เราจะเลือกมองแบบใด
-Frank D. Fixar : เป็นเพลงสไตล์ Country ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณปู่ของเจสันในการเขียนเพลง ได้บรรยากาศเหมืิอนเดินทางไปรอบๆเมืองชนบทของอเมริกา
-Who's Thinking About You Now? : เพลงช้าที่ย้ำเตือนคนรักว่าใครคือคนที่คอยคิดถึงและดูแลอยู่ทุกเวลา
-In Your Hands : เจสันกล่าวว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชื่นชอบจากทุกเพลงที่เขาเคยเชียน "มันใช้คำค่อนข้างน้อย แต่ให้ภาพที่กว้างใหญ่" เพลงสไตล์โรแมนติกช้าๆสบายๆ
-Be Honest : ผสานเสียงกีตาร์ Acoustic กับเสียง Xylophone ไว้ได้อย่างลงตัว ได้กลิ่นอาย Brazilian Music และยังรับเชิญศิลปินเสียงหวาน Inara George มาร่วมร้องซึ่งร้องได้ไพเราะมาก
-The World as I See It : เพลงที่มี Intro ดึงดูด ทำให้อยากฟังต่อทั้งเพลงจริงๆ เนื้อเพลงกล่าวถึงตัวเราในการเลืิอกมองโลก โลกจะเป็นอย่างไร อยู่ที่เราจะมองอย่างไร สำหรับเจสัน เจสันเลือกที่จะมองโลกในอย่างที่เพลงนี้ได้บอก และเพลงนี้ยังมี Hidden Track ภายใต้ชื่อ I'm Coming Over ซึ่งต้องให้ผู้อ่านไปลองติดตามฟังกันในอัลบั้มว่าไพเราะเพียงใด
--------------------------------------------------
Musicagape : 4/5 Stars
อีกหนึ่งอัลบั้มที่ศิลปิน Jason Mraz ทำออกมาได้อย่างละมุนและนุ่มนวล กับอัลบั้มล่าสุดภายใต้ชื่อ "Love Is A Four Letter Word" ซึ่งเจ้าตัวถึงกับออกปากพูดบน MySpace ไว้ว่าขั้นตอนในการทำอัลบั้มนี้จะไม่เหมือนอัลบั้มก่อนๆอย่างแน่นอน เจสันยังร่วมแต่งเนื้อเพลงกับ Dido ซึ่งโด่งดังจากเพลงอย่าง "White Flag" และ "Thank You" มาแล้วด้วย
อัลบั้มนี้มีความหลากหลายของแนวดนตรีพอสมควร แต่ก็ฟังต่อเนื่องเป็นเอกภาพ ทุกอย่างในอัลบั้มฟังดูลื่นไหลและลงตัวไปหมด ดนตรีค่อนข้างละเอียด มีความเป็น Acoustic มากขึ้นกว่าอัลบั้มก่อนๆ ตัวอัลบั้มฟังสบาย ทุกบทเพลงมีความหมายดี จริงๆแล้วเป็นความตั้งใจของตัวเจสันเอง ที่ต้องการสร้างอัลบั้มแห่ง "รัก" ขึ้นมาสักอัลบั้ม
ผู้เขียนค่อนข้างประหลาดใจว่าทำไมนักวิจารณ์กระแสหลักถึงให้คะแนนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นักวิจารณ์ Bill Lamb จาก About.com ได้ให้ความเห็นไว้ว่า "เพลงเหล่านี้เป็นประดุจเพชรเม็ดแท้ แต่เพลงที่นุ่มนวลเหล่านี้ไม่ควรจะได้ยินมากเกินกว่าหนึ่งหรือสองเพลง" Loh Chuan Junn จาก Media Corp กล่าวว่า "ทุกเพลงในอัลบั้มนี้น่าฟัง แต่เมื่อมันมารวมกันเป็นอัลบั้ม เจสันใช้จังหวะเร่งเร้าอย่างไม่มีหยุดพัก และความรักโรแมนติกอันแสนเลี่ยนเหล่านี้อาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับแม้พวกที่ไม่ค่อยมีนิสัยชอบถากถางเท่าไหร่" ดูเหมือนว่ากระแสเหล่านักจิจารณ์เหล่านี้จะโจมตีไปที่เนื้อร้องแง่บวกและแนวเพลงที่ชวนให้ง่วงนอนเสียส่วนใหญ่
คงจะเป็นเพราะอัลบั้มของเจสันเกิดผิดยุค สวนทางกับกระแสเพลง EDM ในยุคสมัย ประกอบกับด้วยเนื้อหาของเพลงที่ฟังดูสดใสจนเกินไป ทำให้เหล่านักวิจารณ์ต่างลดคะแนนกันอย่างมากมาย แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว หากเราตัดประเด็นเรื่องแนวเพลงที่ชวนง่วงนอนและเหมาะกับการเปิดเป็น Background Music ออกไป ทุกๆเพลงเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าและเป็นประดุจเพชรเม็ดแท้จริงๆ ไม่มีเพลงไหนที่ไม่เพราะเลยในมุมมองของผู้เขียน เจสันเป็นผู้ชายที่กล้ายืนหยัดแนวเพลงตัวเองท่ามกลางกระแสอิเลคโทรนิคร่วมสมัย เป็นเหมือนทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เขียวขจีสวยงามจากธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงสีเสียงจอมปลอมที่มนุษย์สรรค์สร้าง เจสันได้ดึงเนื้อแท้ของเสียงเครื่องดนตรีให้ออกมาได้ไพเราะและน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าถ้าผู้ฟังได้เปิดอัลบั้มนี้ฟังเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งต่อๆมา ผู้ฟังจะเริ่มได้ยินเนื้อแท้และเสียงบางอย่างที่จะดึงดูดให้ต้องประทับใจในอัลบั้มนี้แน่นอน
Track-By-Track
-The Freedom Song : ฟังสนุกสนานคล้ายๆกับเพลง "Butterfly" ของตัวเจสันเอง และเป็นเพียงหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่เจสันไม่ได้แต่งเอง
-Living in the Moment : เพลง Acoustic สบายๆ ได้อารมณ์คล้ายๆเพลงของ สิงโต นำโชค
-The Woman I Love : เพลงไสต์ Country Pop เพราะๆ ซึ่งเจสันได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมพยายามที่จะรักษาเพลงของผมให้มีความเป็นกลางทางเพศ แม้เพลงนี้จะชื่อว่า 'The Woman I Love' แต่ผมต้องการแต่งเพลงนี้เพื่ออุทิศให้กับผู้ชายที่อยู่ในความสัมพันธ์ บ่อยครั้งผู้หญิงรู้สึกสูญเสียสำคัญของตัวเองและทำให้เธอทำตัวบ้าคลั่งในบางเวลา มันขึ้นอยู่กับคู่รักที่จะรักกันจากข้างในขอกันและกันในอย่างที่พวกเขาเป็นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เพลงต้องการจะบอก"
-I Won't Give Up : ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม ที่มีเนื้อหาของเพลงกระแทกใจเป็นอย่างยิ่ง ความหมายเพลงไม่ได้ไร้สาระเพียงแค่หนุ่มจีบสาว สาวจีบหนุ่ม เธอรักฉัน ฉันรักเธอ แต่ลึกซึ้งลงไปกว่ามาก การบอกกับคนรักว่าแม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจ เหตุการณ์จะแย่ขนาดไหน แต่ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ในเรื่องของเรา สัมผัสได้เลยว่าศิลปินคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวที่ลึกซึ้งมามาก ถึงสามารถแต่งเนื้อเพลงที่กินใจออกมาได้เพียงนี้
-5/6 : เพลงสไตล์ Acoustic Pop Jazz ที่เล่นกับจังหวะซึ่งอาจสร้างความประหลาดใจและความงุนงงแก่ผู้ฟังพอสมควร แต่เป็นหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่ผู้เขียนชอบเลยทีเดียว
-Everything is Sound : เพลงแนว Acoustic Pop ที่บอกเล่าความสุขและยินดีผ่านเสียงร้องของเจสัน เจอสันให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้บอกเล่าถึงประสบการณ์และทัศนะมุมมองต่างๆของเขา
-93 Million Miles : สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลในบทเพลง เพลงนี้กล่าวถึงระยะทางระหว่างพระอาทิตย์กับโลกที่ห่างกันถึง 93 ล้านไมล์ และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบนโลก ทุกๆที่นั้นคือบ้านของเรา บ้านอยู่ในใจของเรา อยู่ที่เราจะเลือกมองแบบใด
-Frank D. Fixar : เป็นเพลงสไตล์ Country ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณปู่ของเจสันในการเขียนเพลง ได้บรรยากาศเหมืิอนเดินทางไปรอบๆเมืองชนบทของอเมริกา
-Who's Thinking About You Now? : เพลงช้าที่ย้ำเตือนคนรักว่าใครคือคนที่คอยคิดถึงและดูแลอยู่ทุกเวลา
-In Your Hands : เจสันกล่าวว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชื่นชอบจากทุกเพลงที่เขาเคยเชียน "มันใช้คำค่อนข้างน้อย แต่ให้ภาพที่กว้างใหญ่" เพลงสไตล์โรแมนติกช้าๆสบายๆ
-Be Honest : ผสานเสียงกีตาร์ Acoustic กับเสียง Xylophone ไว้ได้อย่างลงตัว ได้กลิ่นอาย Brazilian Music และยังรับเชิญศิลปินเสียงหวาน Inara George มาร่วมร้องซึ่งร้องได้ไพเราะมาก
-The World as I See It : เพลงที่มี Intro ดึงดูด ทำให้อยากฟังต่อทั้งเพลงจริงๆ เนื้อเพลงกล่าวถึงตัวเราในการเลืิอกมองโลก โลกจะเป็นอย่างไร อยู่ที่เราจะมองอย่างไร สำหรับเจสัน เจสันเลือกที่จะมองโลกในอย่างที่เพลงนี้ได้บอก และเพลงนี้ยังมี Hidden Track ภายใต้ชื่อ I'm Coming Over ซึ่งต้องให้ผู้อ่านไปลองติดตามฟังกันในอัลบั้มว่าไพเราะเพียงใด
--------------------------------------------------
| คะแนนจากนักวิจารณ์มืออาชีพ (ข้อมูลวิกิพีเดีย) | |
|---|---|
| Aggregate scores | |
| Source | Rating |
| Metacritic | (63/100) |
| Review scores | |
| Source | Rating |
| About.com | |
| AllMusic | |
| Boston Globe | positive |
| Entertainment Weekly | B |
| The Guardian | |
| Metro UK | favorable |
| New York Times | favorable |
| The Observer | |
| Rolling Stone | |
| Virgin Media | |
| Under The Gun | 7.5/10 |
iTune:
Love Is a Four Letter Word - Jason Mraz วิจารณ์ บทความ รีวีว Review Comment

ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น