25 สิงหาคม 2557

Album Review : G I R L - Pharrell Williams [4.5 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : G I R L
Artist : Pharrell Williams
Year Released : 2014
Genre : R&B, Funk, Soul







Musicagape : 4.5/5 Stars


ผลงานจากศิลปิน นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์มากความสามารถ Pharrell Williams ที่เคยโปรดิวซ์เพลงให้กับศิลปินชื่อดังมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Britney Spears, Justin Timberlake, Beyonce, Madonna ลำหรับอัลบั้มนี้ เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 2 ของเขาในฐานะศิลปินเดี่ยว ซึ่งมีเพลงอย่าง "Happy" ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั้งโลก บรรจุอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย และอัลบั้มนี้ก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะได้บรรจุและแสดงความสามารถขั้นสูงของตัวศิลปินผู้นี้ออกมาได้ดีมาก

ตัวเพลงในอัลบั้มมีความหลากหลาย แต่โดยรวมแล้วน่าจะจัดอยู่ในแนว Contemporary R&B ลักษณะดนตรีมีความซับซ้อน มีรายละเอียดเยอะ แต่ผสานกันได้อย่างลงล็อก ฟังไม่ยาก ศิลปินใช้ลูกเล่นและจังหวะที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจในบางช่วงเมื่อได้ฟัง จริงๆแล้วอัลบั้มนี้มีแนวคิดความเป็ร Faminism อยู่พอสมควร เพราะตัวศิลปินตั้งใจผลิตอัลบั้มนี้เพื่อเทิดทูนและยกย่องเพศหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่มีส่วนทำให้เขาประสบความสำเร็จ ในอัลบั้มนี้ได้รับเชิญศิลปินชื่อดังมาฟีเจอร์ริ่งมากพอสมควร เช่น Justin Timberlake, Daft Punk, Alicia Keys, Timbaland, Miley Cyrus

ตัวผู้เขียนค่อนข้างจะชื่นชอบอัลบั้มนี้เลยทีเดียว ด้วยตัวเพลงที่ใช้แนวเพลงสไตล์เก่าๆ แต่ผสมผสานให้ฟังดูรู้สึกว่าใหม่ การวางจังหวะ มิติ เสียงดนตรีต่างๆได้อย่างเหมาะเจาะ ถือว่าเป็นอัลบั้มที่ฟังดูเจ๋งและดีเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเพลงตลาดๆทั่วๆไปของอเมริกันในยุคนี้


Track-By-Track
-Marilyn Monroe : เปิดอัลบั้มด้วยเสียงเครื่องสายสไตล์ Classic ที่งดงามและโรแมนติกเหมือนภาพยนตร์ในยุค 50's ทำให้นึกย้อนไปถึงนักแสดงสาวผู้มีหน้าตาและเรือนร่างอันน่าดึงดูด Marilyn Monroe ตามมาติดๆด้วยจังหวะสไตล์ Funk, R&B ชวนโยก เสียงสับกีตาร์เริ่มมีบทบาทในช่วงท่อนกลางของเพลง สร้างบรรยากาศสนุกสนานคล้ายๆกับเพลง "Celebration" ของวง Kool & The Gang

-Brand New : เพลงสไตล์ House, Funk ที่ยังคงมีเสียงกีตาร์สับในสไตล์ Nile Rodgers อย่างต่อเนื่องเหมือนเพลงก่อนหน้า เพลงนี้เป็นการดูโอระหว่าง Pharrell กับ Justin Timberlake ซึ่งร้องด้วยน้ำเสียง Falsetto หรือเสียงหลบ นับว่าเป็นการดูโอที่สมน้ำสมเนื้อและสนุกเป็นอย่างยิ่ง

-Hunter : เพลงสไตล์ Funky ที่ชวนให้นึกถึงศิลปินขาร็อคอย่าง The Rolling Stones ขึ้นมา กลองมีจังหวะ Disco ง่ายๆ คล้ายกับเพลง "Fly, Robin, Fly" ของ Silver Convention

-Gush : เพลงที่ค่อนข้างมีจังหวะ และมีเครื่องสายรองเป็นพื้นหลัง ให้ความหนักแน่นและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน ในเนื้อเพลง ฟาร์เรลล์ได้อ้อนวอนคู่รักให้ "ปลดเปลื้องรัศมีและปีกออกไป" เพลงนี้ค่อนข้างมีความหมายที่ค่อนข้างเปิดเผยพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้คำว่า Pussy อย่างตรงไปตรงมาในเพลง

-Happy : ผู้เขียนมั่นใจได้เลยว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเพลงนี้ เพราะเป็นเพลงที่ทำให้ผู้ที่ไม่เคยฟังหรือติดตามผลงานของฟาร์เรลล์มาก่อน เริ่มสนใจเพลงของเขาขึ้นมา กับเพลงที่เป็นซาวน์แทร็กประกอบภาพยนตร์เรื่อง Despicable Me 2 ที่ติดชาร์ตอันดับหนึ่งนานถึง 10 สัปดาห์ ด้วยเพลงสไตล์ Neo Soul ผสานกับ Funk ได้อารมณ์ความเป็น Gospel ซึ่งมีเสียงร้องประสานที่โดดเด่นและติดหู

-Come Get It Babe : เพลงสไตล์ Funk ที่ใช้เสียงเบส 8 บิตประกอบ ฟังแล้วได้อารมณ์คล้ายกับเพลง "Blurred Lines" ของ Robin Thicke งานนี้ได้ศิลปินสาวจากดิสนีย์คลับ Miley Cyrus มาร่วมฟีเจอร์ริ่งด้วย

-Gust Of Wind : เพลงที่มีเสียงเครื่องสายบรรเลงร่วมไปอย่างหรูหรา เริ่มต้นเพลงด้วยการย้ำคอร์ด Fm7 ถึงห้าครั้ง ผู้เขียนติดใจและชอบเพลงนี้ทันทีในครั้งแรกที่ได้ฟัง เพลงมีมิติและการจัดเรียงดนตรีที่ลงตัวมาก มีเสียงร้องหุ่นยนต์ประกอบในเพลง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แน่นอนว่าต้องเป็นศิลปินอย่าง Daft Punk ที่ใช้เสียงหุ่นยนต์เป็นเอกลักษณ์ และก็มาร่วมในเพลงนี้ด้วย

-Lost Queen : เพลงสไตล์ African Music ที่มีเสียงร้องประสานเป็นเอกลักษณ์ ผสานกับลูปสไตล์ Hip-Hop ที่ลงตัว ช่วงสามนาทีท้ายของเพลง มี Hidden Track ซ่อนอยู่ภายใต้ชื่อ "Freq" ในสไตล์ Contemporary R&B ซึ่งไพเราะและงดงามมาก

-Know Who You Are : เพลงร่วมร้องดูโอกับ Alicia Keys ออกแนว Raggae, Ska เล็กๆ เสียงของอลิเซียฟังดูมีเสน่ห์และน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง จังหวะเพลงไม่เร็วไม่ช้า ฟังสบายๆ น่าโยกตัวตาม

-It Girl : เพลงผิดท้ายของอัลบั้มที่มีสไตล์ Jam ผสม Chill Out อยู่เล็กๆ ขบเพลงด้วยการ Fade ตามแบบฉบับนิยมของเพลงยุค 80's


--------------------------------------------------

19 สิงหาคม 2557

Album Review : Love Is a Four Letter Word - Jason Mraz [4 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Love Is a Four Letter Word
Artist : Jason Mraz
Year Released : 2012
Genre : Pop Rock, Folk, Acoustic Music









Musicagape : 4/5 Stars


อีกหนึ่งอัลบั้มที่ศิลปิน Jason Mraz ทำออกมาได้อย่างละมุนและนุ่มนวล กับอัลบั้มล่าสุดภายใต้ชื่อ "Love Is A Four Letter Word" ซึ่งเจ้าตัวถึงกับออกปากพูดบน MySpace ไว้ว่าขั้นตอนในการทำอัลบั้มนี้จะไม่เหมือนอัลบั้มก่อนๆอย่างแน่นอน เจสันยังร่วมแต่งเนื้อเพลงกับ Dido ซึ่งโด่งดังจากเพลงอย่าง "White Flag" และ "Thank You" มาแล้วด้วย

อัลบั้มนี้มีความหลากหลายของแนวดนตรีพอสมควร แต่ก็ฟังต่อเนื่องเป็นเอกภาพ ทุกอย่างในอัลบั้มฟังดูลื่นไหลและลงตัวไปหมด ดนตรีค่อนข้างละเอียด มีความเป็น Acoustic มากขึ้นกว่าอัลบั้มก่อนๆ ตัวอัลบั้มฟังสบาย ทุกบทเพลงมีความหมายดี จริงๆแล้วเป็นความตั้งใจของตัวเจสันเอง ที่ต้องการสร้างอัลบั้มแห่ง "รัก" ขึ้นมาสักอัลบั้ม

ผู้เขียนค่อนข้างประหลาดใจว่าทำไมนักวิจารณ์กระแสหลักถึงให้คะแนนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นักวิจารณ์ Bill Lamb จาก About.com ได้ให้ความเห็นไว้ว่า "เพลงเหล่านี้เป็นประดุจเพชรเม็ดแท้ แต่เพลงที่นุ่มนวลเหล่านี้ไม่ควรจะได้ยินมากเกินกว่าหนึ่งหรือสองเพลง" Loh Chuan Junn จาก Media Corp กล่าวว่า "ทุกเพลงในอัลบั้มนี้น่าฟัง แต่เมื่อมันมารวมกันเป็นอัลบั้ม เจสันใช้จังหวะเร่งเร้าอย่างไม่มีหยุดพัก และความรักโรแมนติกอันแสนเลี่ยนเหล่านี้อาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับแม้พวกที่ไม่ค่อยมีนิสัยชอบถากถางเท่าไหร่" ดูเหมือนว่ากระแสเหล่านักจิจารณ์เหล่านี้จะโจมตีไปที่เนื้อร้องแง่บวกและแนวเพลงที่ชวนให้ง่วงนอนเสียส่วนใหญ่

คงจะเป็นเพราะอัลบั้มของเจสันเกิดผิดยุค สวนทางกับกระแสเพลง EDM ในยุคสมัย ประกอบกับด้วยเนื้อหาของเพลงที่ฟังดูสดใสจนเกินไป ทำให้เหล่านักวิจารณ์ต่างลดคะแนนกันอย่างมากมาย แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว หากเราตัดประเด็นเรื่องแนวเพลงที่ชวนง่วงนอนและเหมาะกับการเปิดเป็น Background Music ออกไป ทุกๆเพลงเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าและเป็นประดุจเพชรเม็ดแท้จริงๆ ไม่มีเพลงไหนที่ไม่เพราะเลยในมุมมองของผู้เขียน เจสันเป็นผู้ชายที่กล้ายืนหยัดแนวเพลงตัวเองท่ามกลางกระแสอิเลคโทรนิคร่วมสมัย เป็นเหมือนทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์เขียวขจีสวยงามจากธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงสีเสียงจอมปลอมที่มนุษย์สรรค์สร้าง เจสันได้ดึงเนื้อแท้ของเสียงเครื่องดนตรีให้ออกมาได้ไพเราะและน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าถ้าผู้ฟังได้เปิดอัลบั้มนี้ฟังเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งต่อๆมา ผู้ฟังจะเริ่มได้ยินเนื้อแท้และเสียงบางอย่างที่จะดึงดูดให้ต้องประทับใจในอัลบั้มนี้แน่นอน


Track-By-Track

-The Freedom Song : ฟังสนุกสนานคล้ายๆกับเพลง "Butterfly" ของตัวเจสันเอง และเป็นเพียงหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่เจสันไม่ได้แต่งเอง

-Living in the Moment : เพลง Acoustic สบายๆ ได้อารมณ์คล้ายๆเพลงของ สิงโต นำโชค

-The Woman I Love : เพลงไสต์ Country Pop เพราะๆ ซึ่งเจสันได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมพยายามที่จะรักษาเพลงของผมให้มีความเป็นกลางทางเพศ แม้เพลงนี้จะชื่อว่า 'The Woman I Love' แต่ผมต้องการแต่งเพลงนี้เพื่ออุทิศให้กับผู้ชายที่อยู่ในความสัมพันธ์ บ่อยครั้งผู้หญิงรู้สึกสูญเสียสำคัญของตัวเองและทำให้เธอทำตัวบ้าคลั่งในบางเวลา มันขึ้นอยู่กับคู่รักที่จะรักกันจากข้างในขอกันและกันในอย่างที่พวกเขาเป็นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เพลงต้องการจะบอก"

-I Won't Give Up : ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม ที่มีเนื้อหาของเพลงกระแทกใจเป็นอย่างยิ่ง ความหมายเพลงไม่ได้ไร้สาระเพียงแค่หนุ่มจีบสาว สาวจีบหนุ่ม เธอรักฉัน ฉันรักเธอ แต่ลึกซึ้งลงไปกว่ามาก การบอกกับคนรักว่าแม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจ เหตุการณ์จะแย่ขนาดไหน แต่ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ในเรื่องของเรา สัมผัสได้เลยว่าศิลปินคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวที่ลึกซึ้งมามาก ถึงสามารถแต่งเนื้อเพลงที่กินใจออกมาได้เพียงนี้

-5/6 : เพลงสไตล์ Acoustic Pop Jazz ที่เล่นกับจังหวะซึ่งอาจสร้างความประหลาดใจและความงุนงงแก่ผู้ฟังพอสมควร แต่เป็นหนึ่งเพลงในอัลบั้มที่ผู้เขียนชอบเลยทีเดียว

-Everything is Sound : เพลงแนว Acoustic Pop ที่บอกเล่าความสุขและยินดีผ่านเสียงร้องของเจสัน เจอสันให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้บอกเล่าถึงประสบการณ์และทัศนะมุมมองต่างๆของเขา

-93 Million Miles : สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลในบทเพลง เพลงนี้กล่าวถึงระยะทางระหว่างพระอาทิตย์กับโลกที่ห่างกันถึง 93 ล้านไมล์ และไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบนโลก ทุกๆที่นั้นคือบ้านของเรา บ้านอยู่ในใจของเรา อยู่ที่เราจะเลือกมองแบบใด

-Frank D. Fixar : เป็นเพลงสไตล์ Country ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณปู่ของเจสันในการเขียนเพลง ได้บรรยากาศเหมืิอนเดินทางไปรอบๆเมืองชนบทของอเมริกา

-Who's Thinking About You Now? : เพลงช้าที่ย้ำเตือนคนรักว่าใครคือคนที่คอยคิดถึงและดูแลอยู่ทุกเวลา

-In Your Hands : เจสันกล่าวว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชื่นชอบจากทุกเพลงที่เขาเคยเชียน "มันใช้คำค่อนข้างน้อย แต่ให้ภาพที่กว้างใหญ่" เพลงสไตล์โรแมนติกช้าๆสบายๆ

-Be Honest : ผสานเสียงกีตาร์ Acoustic กับเสียง Xylophone ไว้ได้อย่างลงตัว ได้กลิ่นอาย Brazilian Music และยังรับเชิญศิลปินเสียงหวาน Inara George มาร่วมร้องซึ่งร้องได้ไพเราะมาก

-The World as I See It : เพลงที่มี Intro ดึงดูด ทำให้อยากฟังต่อทั้งเพลงจริงๆ เนื้อเพลงกล่าวถึงตัวเราในการเลืิอกมองโลก โลกจะเป็นอย่างไร อยู่ที่เราจะมองอย่างไร สำหรับเจสัน เจสันเลือกที่จะมองโลกในอย่างที่เพลงนี้ได้บอก และเพลงนี้ยังมี Hidden Track ภายใต้ชื่อ I'm Coming Over ซึ่งต้องให้ผู้อ่านไปลองติดตามฟังกันในอัลบั้มว่าไพเราะเพียงใด


--------------------------------------------------

18 สิงหาคม 2557

Album Review : Xscape - Michael Jackson [3.5 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Xscape
Artist : Michael Jackson
Year Released : 2014
Genre : Pop, R&B, New Jack Swing










Musicagape : 3.5/5 Stars



แม้จะจากโลกไปกว่า 5 ปี แต่ศิลปินคนนี้ Michael Jackson ยังคงมีอัลบั้มออกมาเรื่อยๆ อัลบั้มล่าสุดในชื่อ "Xscape" เป็นอัลบั้มที่นำผลงานเพลงที่ยังไม่เคยออกอากาศหรือวางจำหน่ายที่ใดมาก่อนของไมเคิล ออกมาตีความและสร้างรูปแบบดนตรีใหม่ๆที่แตกต่างจากเวอร์ชั่น Demo เก่าของแต่ละเพลง โดยค่ายเพลง Sony Music  เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดของไมเคิล และได้นำโปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานโดยตรงกับไมเคิล พร้อมกับโปรดิวเซอร์อีกหลายๆคนที่มีความปรารถนาอยากจะร่วมทำงานกับไมเคิล ในอัลบั้มนี้ พวกเขาก็ได้ร่วมรังสรรค์อัลบั้มใหม่ขึ้นมาให้ศิลปินผู้ล่วงลับไปแล้วได้กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง

เปิดตัวอัลบั้มด้วยการตัดส่วนหนึ่งของเพลง "Slave to the Rhythm"  เป็นเพลงประกอบโฆษณาโทรศัพท์มือถือของ Sony รุ่น Xperia 72 และในส่วนของซิงเกิ้ล ทางค่ายเพลงได้ประกาศว่าจะปล่อยเพลง "Love Never Felt So Good" ออกมาเป็นซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม และก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก เพราะเพลงสามารถไต่ขึ้นไปติด TOP 10 ชาร์ต ของ Billboard Hot 100 จนทำให้ไมเคิล กลายเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกที่มีเพลงติดซาร์ตต่อเนื่องถึง 5 ทศวรรษ บางเพลงอย่างเช่น "Xscape" ซึ่งตั้งใจจะปล่อยลงในอัลบั้ม "Invincible" และส่วนหนึ่งของเพลงก็เคยหลุดออกมาสู่สาธารณะแล้ว แต่ตัดสินใจตัดออกในภายหลัง มาในอัลบั้มนี้ ก็ได้นำเพลงนี้เข้ามาบรรจุด้วย

โดยรวมของอัลบั้มแล้วก็ถือว่าเหล่าโปรดิวเซอร์ตีความและสร้างสรรค์อัลบั้มออกมาได้ดีพอสมควร มิติของเสียงฟังดูเป็นเอกลักษณ์และตัวตนของไมเคิล อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนประทับใจอัลบั้มก่อนๆของไมเคิลมากกว่า และมองว่าอัลบั้มก่อนๆทำไว้ได้ดีกว่ามาก ทั้งเรื่องมิติและรายละเอียดทางดนตรีที่ซับซ้อนและน่าฟังกว่า

ปล.อัลบั้มนี้ได้ปล่อยเวอร์ชั่น Deluxe ออกมาด้วย โดยได้บรรจุเวอร์ชั่นเก่าๆของทุกเพลงเอาไว้ ซึ่งผู้เขียนมองว่าน่าฟังและมีเสน่ห์กว่าเพลงชุดใหม่ที่ทำออกมามากพอสมควร


Track-By-Track

-Love Never Felt So Good : บทเพลงในจังหวะกลอง Disco เคล้าคลอไปกับกลุ่มเครื่องสายที่บรรเลงอยู่เป็นพื้นหลัง ให้ความหรูหราและนุ่มนวลในแบบฉบับของไมเคิล เพลงได้ถูกแต่งขึ้นเมื่อปี 1983 โดย Paul Anka เป็นผู้ร่วมเขียนเพลงนี้ด้วย เพลงนี้ทำออกมาในอีกหนึ่งเวอร์ชั่น ซึ่งได้ Justin Timberlake เป็นนักร้องรับเชิญ โดยในเวอร์ชั่นใหม่นี้ได้นำช่วง Percussion จากเพลง "Workin' Day And Night" ซึ่งเป็นเพลงเก่าของไมเคิล มาใส่ไว้ในช่วงกลางของเพลงด้วย

-Chicaco : ซึ่งมีชื่อเพลงเดิมว่า "She Was Lovin' Me" เป็นการนำซาวน์ลูปสไตล์ Hip-Hop มาผสานเข้ากับมิติเสียงยุค 80's ได้อย่างลงตัว เพลงนี้ได้แต่งขึ้นในช่วงปี 1999 และไม่ได้บรรจุอยู่ในอัลบั้ม Invincible กล่าวกันว่าเพลงนี้ถูกแต่งในช่วงที่ไมเคิลผิดหวังในความรัก Timberlake โปรดิวเซอร์ของเพลงนี้ได้กล่าวว่าบางครั้งเขารู้สึกเหมือนกับ "วิญญาณของไมเคิลมาพูดกับผมในสตูดิโอ"

-Loving You : หนึ่งในเพลงรักที่มีเนื้อหาตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน ถูกแต่งและอัดเสียงในเวอร์ชั่นเก่าในช่วง 1985-1987 ซึ่งเป็นช่วงที่ทำอัลบั้ม Bad ผู้เขียนมองว่าเวอร์ชั่นเก่าของเพลงนี้น่าฟัง นุ่มนวล และทำได้ดีกว่าเวอร์ชั่นใหม่

-A Place With No Name : ขึ้นต้นด้วยเสียงคีย์บอร์ดสังเคราะห์ ไมเคิลแต่งเนื้อเพลงใหม่ทั้งหมดใส่ลงในทำนองเดิมที่ได้นำมาจากเพลง "A Horse With No Name" ของวง America ซึ่งเป็นเพลงที่โด่งดังมากเมื่อปี 1972 เนื้อหาในเพลงใหม่นี้พูดถึงชายคนหนึ่งที่รถเสียกลางถนนไฮเวย์ ระหว่างนั้นเขาได้พบกับหญิงสาวที่พาเขาไปยังสถานที่ที่ไม่มีชื่อ ที่ๆซึ่งไร้ความเจ็บปวดและทุกคนอยู่กันอย่างสันติสุข

-Slave To The Rhythm : เพลง Dance ที่มีรายละเอียดดนตรีที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงและซับซ้อน มีเสียง percussion โดดเด่นตลอดเพลง ต้นฉบับดั้งเดิมถูกเขียนขึ้นในปี 1991 โดย L.A.Reid และ Babyface เรื่องราวของเพลงพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องตรากตรำทำสิ่งต่างๆให้คนในครอบครัวที่ไม่เห็นคุณค่า เสมือนกับการตกอยู่ภายใต้อำนาจของจังหวะ

-Do You Know Where Your Children Are : เพลงที่มีจังหวะหนักแน่นแนว Electronic พร้อมกับโซโลกีตาร์บาดหูในช่วงกลางเพลงที่ทำให้นึกถึงเพลง "Black or White" ของไมเคิลเอง เพลงนี้ถูกอัดเสียงครั้งแรกในช่วงอัลบั้ม "Bad" แต่ก็ไม่ได้บรรจุอยู่ในอัลบั้ม ต่อมาได้มีการนำกลับมาทำใหม่อีกครั้งในอัลบั้ม "Dangerous" แต่ก็ไม่ได้บรรจุอยู่ในอัลบั้มอีกเช่นกัน

-Blue Gangsta : เพลงสไตล์ Hip-Hop ที่มีมิติจังหวะและดนตรีที่ซับซ้อนไม่แพ้เพลงก่อนหน้า เป็นเพลงที่ค่อนข้างฟังยากเพลงหนึ่ง มีความเป็น Ambient แทรกอยู่ช่วงกลางเพลง

-XSCAPE : เป็นที่รู้กันว่าไมเคิลมักจะหยิบซื่อหนึ่งในเพลงในอัลบั้มออกมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม และเพลงนี้ก็ถูกนำมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม Xscape ซึ่งก่อนหน้านี้ เพลงนี้จะได้อยู่ในอัลบั้ม Invincible แต่ก็ตัดออกไปก่อน เพลงมีความดุดันทั้งในเรื่องของจังหวะและการร้อง ไมเคิลสื่อความรู้สึกว่าอยากจะหลบหนีจากความวุ่นวายทั้งหมดที่เขาต้องเจอในชีวิตผ่านน้ำเสียงออกมาได้ดีเลยทีเดียว


--------------------------------------------------

16 สิงหาคม 2557

Album Review : PUSH - Etc. [4 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : PUSH
Artist : Etc.
Year Released : 2013
Genre : Pop, Funk, Soul









สตูดิโออัลบั้มที่ 4 จากวง "Etc." ที่อัดคุณภาพไว้ภายในอัลบั้มไว้อย่างคับคั่ง ภายใต้ชื่อ "PUSH" ด้วยแนวเพลงสไตล์ Funk, Soul ที่ืมีไม่กี่วงในประเทศไทยที่จะทำได้ลึกซึ้งและน่าฟังขนาดนี้ และคงจะไม่เป็นการกล่าวเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าวง Etc. เป็นเพียงไม่กี่วงของประเทศไทยที่บรรดาเหล่านักดนตรีมืออาชีพนิยมแกะเพลงของพวกเขาเพื่อโชว์ฝืมือและความสามารถขั้นสูงในทางดนตรีของตัวเอง

ต้องบอกว่า Etc. เป็นวงที่จับแนวทางการทำเพลงของตัวเองไว้ได้อย่างคงที่ จนได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของวงที่ถ้าทุกคนได้ฟังเมื่อไหร่ก็ต้องบอกได้ทันทีว่านี่คือเพลงของ Etc. เพลง "รักครั้งเดียว" ในจังหวะ R&B Funk บอกตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี รายละเอียดดนตรีประสานกันได้อย่างพอดี ไม่มากไม่น้องเกินไป ในเพลงนี้เรายังได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของวงในการจัดเรียงเสียงดนตรีต่างๆได้อย่างลงตังและสวยงามอีกด้วย เพลง "ปัจจุบัน" มีจังหวะสนุกสนานสไตล์ Post-Disco ผสานกับ Funk ที่ชวนโยก พร้อมด้วยความหมายที่บอกให้ทิ้งอดีตแล้วอยู่บนเส้นทางในปัจจุบัน ก็ลึกซึ้งและน่าคิดตาม เพลง "เจ็บ..และชินไปเอง" และ "ใครนิยาม" ยังคงเป็นเพลงช้าที่ทำให้หลายๆคนต้องน้ำตาคลออีกตามเคย ด้วยจังหวะและความหมายเพลงที่บาดใจและโดน เป็นเอกลักษณ์ของวงที่ถ้าได้แต่งเพลงช้าเมื่อใด เป็นต้องได้เรียกน้ำตาของผู้ฟังได้ทุกเมื่อ

เป็นกระแสวิพากย์วิจารณ์ที่กว้างขวางพอสมควรกับเพลง "ปรชญา 8 บิต" ที่หลายๆคนบอกว่าไปลอกจากศิลปินต่างชาติมา อย่าง The Black Eyed Peas, Jamiroquai, YMCK โดยเฉพาะตัว MV ที่ไปคล้ายคลึงกับเพลง Natirally ของ Selena Gomez เป็นอย่างมาก แต่ในความเห็นของผู้เขียน ผู้เขียนกลับมองว่าไม่ได้เหมือนกันไปซะทีเดียว เพลงเหล่านั้นน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปิน Etc. ทำเพลงแนวนี้ออกมาเสียมากกว่า โดยรวมแล้ว อัลบั้มนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก มากกว่าที่ศิลปินหลายๆคนของไทยได้ทำด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะทำอัลบั้มออกมาได้ลงตัวและน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่ตัวผู้เขียนก็ยังมองว่าการมิกซ์เสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้รายละเอียดกับมิติของเสียงและเพลงยังน้อยไปสำหรับอัลบั้มนี้ ถ้าศิลปินให้ความสำคัญกับมิิติเสียงในการฟังที่มากขึ้น ผู้เขียนเชื่อว่าอัลบั้มนี้จะออกมาลงตังและน่าฟังมากขึ้น ไม่แพ้ศิลปินต่างชาติแน่นอน


Musicagape : 4/5 Stars


--------------------------------------------------

13 สิงหาคม 2557

Album Review : Random Access Memories - Daft Punk [4 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Random Access Memories
Artist : Daft Punk
Year Released : 2013
Genre : Electronic, Funk









ไม่ธรรมดาเลยสำหรับศิลปินดูโอจากฝรั่งเศษ "Daft Punk" ที่เป็นถึงระดับผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนต์ฟอร์ยักษ์ "Tron:Legacy" ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่อวอร์ตครั้งที่ 54 สาขาซาวนด์แทรกประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในอัลบั้มล่าสุด "Random Access Memories" ก็เรียกได้ว่าเป็นกระแสตอกย้ำความสำเร็จของ Daft Punk อีกครั้ง เพราะได้รับรางวัล "อัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี" จากเวทีแกรมมี่อวอร์ต ครั้งที่ 56 ยิ่งไปกว่านั้น เพลง "Get Lucky" ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้ม ก็ยังได้รับรางวัลรางวัล "บันทึกเสียงยอดเยี่ยม" อีกด้วย แถมยังรับเชิญศิลปินระดับตำนานและมืออาชีพไม่ว่าจะเป็น Nile Rodgers จากวง Chic, Pharell Williams ที่โด่งดังจากเพลง Happy มาร่วมด้วย

อัลบั้มใช้เสียงเครื่องดนตรีสดในการอัดส่วนใหญ่ พร้อมกับการผสมผสานเสียงสังเคราะห์เข้าไป ซึ่งเป็นแบบฉบับและเอกลักษณ์ของ Daft Punk เปิดอัลบั้มด้วยเพลงแรก "Give Life Back to Music" ที่ผสานความเป็น Fushion Jazz, Disco, Funk เข้าด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ ได้กลิ่นอายของเพลง Off The Wall ของ Michael Jackson อยู่ภายในเพลง พร้อมกับมีเสียงหุ่นยนต์ร่วมร้องเพลง ได้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และทันสมัยดี เพลง "Giorgio by Moroder" เป็นเพลงที่มีเสียงบทสัมภาษณ์ของ Giorgio Moroder ซึ่งเป็นศิลปินกลุ่มแรกๆที่บุกเบิกเพลงอิเลคโทรนิค ผสมจังหวะ Disco และการอิมโพรไวเซชั่นสไตล์ Jazz ได้อย่างงดงาม พร้อมกับเสียง Strings สไตล์ Classic อยู่ภายใน เพลง "Within" เป็นเพลงสไตล์ 80's Ballad ที่ไพเราะและนิ่มนวล พร้อมกับเสียงร้องแบบหุ่นยนต์ที่ให้ความรู้สึกหงอยเหงาและเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง

เพลง "Lose Yourself to Dance" ที่จับมือร่วมงานกับ Pharell Williams ให้ความรู้สึกชวนโยกขยับไปพร้อมกับเพลงเป็นอย่างมาก ได้บรรยากาศย้อนยุคไปอยู่ในดิสโก้เทคช่วง 70's เพลง "Get Lucky" ที่ไม่กล่าวถึงก็คงจะไม่ได้ และเช่นเดิม ยังคงร่วมงานกับ Pharell Williams ในเพลงนี้ ทั้งเพลงใช้เพียงแค่สี่คอร์ด แต่สร้างความแตกต่างและความสนุกสนานได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลักษณะ Disco, Funk เต็มอยู่ภายในเพลง เชื่อว่าถ้าไปเปิดเพลงนี้ที่ไหน ทุกคนต้องเต้นตามอย่างแน่นอน เพลง "Fragments of Time" เป็นเพลงสไตล์ Folk แบบ 80's ที่ไพเราะอีกเพลงในอัลบั้ม เพลง "Contact" เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มซึ่งปิดท้ายได้อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ ด้วยจังหวะที่เริ่มต้นจากช้าๆ จนไปถึง Hard Rock ท้ายเพลง นอกจากนี้ยังนำเสียงนักอวกาศ NASA มาใส่ไว้ในเพลงด้วย ให้ความรู้สึกเปิดกำลังไปร่วมรับชมการปล่อยยานอวกาศอยู่จริงๆ

แม้ว่าจะเกิดกระแสตื่นตัวกับอัลบั้มนี้อย่างมากมาย จนบางคนยกย่องให้เป็นอัลบั้มแห่งยุคที่มีสไตล์เพลงแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร แต่ผู้เขียนกลับมองว่าอัลบั้มนี้ไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรมากนัก เพลงแทบทั้งหมดมีพื้นฐานและคล้ายคลึงกับเพลงในยุค Disco, Funk เก่าๆอยู่สูง ต่างจากอัลบั้มก่อนๆของ Daft Punk ที่มีความเป็น EDM มากกว่า ตัวเพลงในอัลบั้มมักจะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง Post-Disco, Funk, Soul, Post-Punk, Alternative Rock, Hard Rock, Classical, Cuban, Folk ซึ่งเป็นสไตล์เพลงยุคเก่า มากไปกว่านั้น อัลบั้มยุคเก่าเหล่านั้นก็ยังทำไว้ได้ดีกว่า โดยเฉพาะการมิกซ์เสียงที่อัลบั้มนี้ค่อนข้างจะทำดิบเกินไป คุณภาพเสียงเหมือนสดมาจากสตูดิโอมากกว่าที่จะมีการปรับแต่งมิติสีสันเพิ่มเติม (อาจจะเป็นความตั้งใจของตัวศิลปิน) จังหวะถึงแม้สนุกสนานชวนให้โยกแต่ก็ยังไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ ซึ่งอัลบั้มเก่าๆของ Daft Punk ทำได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม Daft Punk ทำเพลงทั้งอัลบั้มออกมาได้อย่างหมดจดและลงตัว รายละเอียดดนตรีที่สร้างสรรค์และซับซ้อนแต่ไม่กัดกัน การใช้เสียงอิเลคโทรนิคที่เติมเต็มพอดีและเป็นธรรมชาติมาก เพลงผสานจังหวะแนวเก่าๆเข้ากับจังหวะแบบใหม่ได้อย่างเหมาะสม ทุกๆอย่างในอัลบั้มฟังดูถูกที่ถูกจังหวะไปหมด ยากที่ศิลปินตลาดๆทั่วๆไปจะทำออกมาได้ ถือว่าเป็นอัลบั้มที่แม้มิติเสียงจะไม่ค่อยหนักแน่น แต่รายละเอียดและจัดเรียงดนตรีนั้นลึกซึ้งและเฉียบแหลมเป็นอย่างยิ่ง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Daft Punk ไม่ใช่ศิลปินที่ธรรมดาจริงๆ


Musicagape : 4/5 Stars


--------------------------------------------------


คะแนนจากนักวิจารณ์มืออาชีพ (ข้อมูลวิกิพีเดีย)
Aggregate scores
SourceRating
Metacritic87/100
Review scores
SourceRating
Allmusic4.5/5 stars
The A.V. ClubB+
Chicago Tribune3/4 stars
Entertainment WeeklyA
The Guardian4/5 stars
NME10/10
Pitchfork8.8/10
Rolling Stone4/5 stars
Slant Magazine3.5/5 stars
Spin8/10


iTune:











Random Access Memories - Daft Punk วิจารณ์ บทความ รีวีว Review Comment

Album Review : Me. I Am Mariah... The Elusive Chanteuse - Mariah Carey [4 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Me. I Am Mariah... The Elusive Chanteuse
Artist : Mariah Carey
Year Released : 2014
Genre : R&B









ถึงแม้ว่าเจ้าแม่ R&B ที่ช่วงเสียงกว้างถึง 5 Octaves (พูดให้เห็นภาพอีกหน่อยก็คือการกดที่คีย์สีขาวของเปียโนตัวไหนก็ได้หนึ่งตัว แล้วนับออกไปทางด้านขวาอีกประมาณ 37 ตัว นั่นคือช่วงเสียงของเธอ) อย่าง "Mariah Carey" จะไม่สามารถร้องเพลงหรือขึ้น Whistle Tone ได้อย่างแต่ก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถหรือความไพเราะของเนื้อเสียงของเธอตกลงไปเลย เธอยังคงใช้เนื้อเสียงที่ยังเหลืออยู่ได้อย่างดีเยี่ยม อัลบั้มล่าสุดภายใต้ชื่อ "Me. I Am Mariah... The Elusive Chanteuse" ซึ่งเป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 14 ของเธอ ก็ยังคงการันตีถึงความสามารถที่เธอมีอยู่ แม้จะไม่ได้หวือหวาเหมือนอย่าง "Emotion" หรือ "The Emancipation of Mimi" แต่ก็ยังคงเป็นอัลบั้มหนึ่งที่เชื่อว่าแฟนๆของเธอคนนี้จะยังคงชื่นชอบและติดตามฟังอยู่

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเสียง Whistle ที่ได้ยินในอัลบั้มนี้ยังคงเป็นเสียงของเธอเองหรือเปล่า แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเสียง Whistle ที่ได้ยินในอัลบั้มมีความพร่ามัวและอ่อนแอลงไปตามอายุขัยเป็นอย่างยิ่ง เพลง "Dedicated" แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการขึ้น Whistle ของเธอ ไม่ได้สดใสและสร้างความน่าประหลาดใจอย่างแต่ก่อน ผู้เขียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าโปรดิวเซอร์และ Sound Engineer ของอัลบั้มต้องทำงานและปรับเสียงอย่างหนักเพื่อทำให้เสียงของเธอฟังออกมาใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพลง "Make It Look Good" ได้กลิ่นอายของความเป็น R&B ยุค 70's อยู่เล็กน้อย ทำให้นึกถึงศิลปินอย่าง Roberta Flack, Dionne Warwick, The Jackson 5 อยู่ในเพลง เพลง "You Don't Know What To Do" ผสมความเป็น Hip-Hop และ Disco ได้อย่างลงตัว และฟังดูสนุกมากด้วย เพลงอย่าง "Camouflage" พาเราไปย้อนยุคอยู่ในช่วง 90's ตอนต้นซึ่งเป็นช่วงแรกๆที่เธอโด่งดัง เพลง "One More Try" ได้สไตล์ความเป็น Gospel เก่าๆซึ่งก็เป็นสไตล์เพลงในอัลบั้มแรกๆ ช่วง 90's ตอนต้นของเธอเช่นเดียวกัน เพลง "You're Mine (Eternal)" หนึ่งในซิงเกิ้ลของอัลบั้ม ก็ได้สไตล์ความเป็น Minimal R&B ซึ่งเป็นเพลงที่น่าฟังไม่แพ้กัน

ตัวอัมบั้มนี้มีความเป็น Hip-Hop อยู่พอสมควร ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ ในช่วงที่กระแสเพลง Hip-Hop เริ่มตกเทรนด์และถูกแทนที่ด้วยเพลงแนว Electronic Dance Music และ Minimal Pop ที่สำคัญอัลบั้มนี้ก็ยังเข้าถึงความเป็น Hip-Hop R&B ได้ไม่ประทับใจเท่าที่ศิลปินรุ่นเด็กอย่าง Ashanti, Monica, Aaliyah ได้เคยทำไว้ ยังคงเป็นเหมือนกับการพยายามปรับแนวเพลง Hip-Hop ให้เข้ากับสไตล์ R&B ของเธอ ช่วงครึ่งหลังของอัลบั้มมีลักษณะความเป็น Gospel อยู่สูง ฟังแล้วทำให้นึกถึงช่วงชีวิต 90's ของเธออย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แม้ว่าอัลบั้มนี้จะไม่ได้พาเราไปสู่มิติทางดนตรีใหม่ๆ แต่ก็ยังคงพอจะขายให้กับบรรดาแฟนเก่า หรือคนที่ยังชอบกระแส Contemporary R&B แบบเก่าๆได้อยู่ ซึ่งก็เป็นจุดขายหลักของเธออยู่แล้ว โดยรวมแล้วก็ถือว่าอัลบั้มล่าสุดของเธอทำออกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว


Musicagape : 4/5 Stars


--------------------------------------------------

บทความพิเศษ : Billie Jean เพลงพลิกโลก

คงจะไม่เป็นการกล่าวยกย่องจนเกินไปถ้าจะบอกว่าเพลง Billie Jean คือหนึ่งในเพลงที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์วงการเพลงของโลกเพลงหนึ่ง เพราะเพลงนี้ได้สร้างเหตุการณ์สำคัญหลายๆเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำ MV การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ชองช่อง MTV การฉาย MV ของคนผิวดำครั้งแรกผ่าน MTV ท่าเต้น Moonwalk และกระแสเลียนแบบ Michael Jackson

หลังจากการปฏิวัติแนวดนตรีจากแนวคลาสสิกที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และการประสานเสียงที่มีเหตุผล มาสู่ยุคโรแมนติกที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความแปลกใหม่โดย Beethoven นักดนตรีอัจฉริยะผู้ที่แต่งเพลง Symphony No.9 ทั้งๆที่หูหนวกสนิทแล้ว แต่บทเพลงก็ยิ่งใหญ่และอยู่ในหัวใจของคนทุกยุคทุกสมัย ยิ่งใหญ่จนขนาดที่องค์กรอย่าง "สหภาพยุโรป" หรือ EU ได้นำเพลงนี้ไปเป็นเพลงประจำสดุดีและเพลง Theme ประจำองค์กร

หลังจากยุคนั้นเป็นต้นมา ก็เริ่มมีการปฏิวัติและกระแสแนวเพลงใหม่ๆกำเนิดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Impressionist โดย Debussy, Ravel การเข้าสู่เพลงร่วมสมัยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ตอนต้นโดยศิลปินอย่าง Prokofiev, Copland แนวเพลงแจ๊สที่เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง จนเป็นที่นิยมถึงขีดสุดในช่วงทศวรรษ 40's และ 50's ที่มีเพลงแนว Swing และ Bebop บรรเลงไปทั่วบ้านทั่วเมือง การบุกเบิกเพลงแจ๊สแนวใหม่สไตล์ Cool Jazz โดย Miles Davis ในช่วงปลายทศวรรษ 50's กระแสป็อปที่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วง 60's การผลิตเครื่องดนตรีสังเคราะห์จนนำไปสู่แนวเพลงดิสโก้ในยุคปลาย 70's และการล่มสลายของแนวเพลงดิสโก้ในปี 1979 โดยกลุ่มผู้ประท้วงและผู้ต่อต้านแนวเพลงดิสโก้

จนกระทั่งในปีคริสตศักราช 1983 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการเพลงอีกครั้งหนึ่งโดยศิลปินอมตะตลอดกาล "Michael Jackson" ซึ่งได้ฝากผลงานอมตะในขณะที่ยังเป็นศิลปินกลุ่ม "The Jackson 5" มาแล้วหลายเพลง อาทิ "I Want You Back", "I'll Be There", "Never Can Say Goodbye" เป็นต้น

ไมเคิลได้เริ่มแยกตัวออกจากวงและทำอัลบั้มเดี่ยวในปี 1971 ภายใต้ชื่อ "Got To Be There" ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับวง The Jackson 5 ที่เคยสังกัดอยู่ ไมเคิลทำอัลบั้มเดี่ยวภายใต้ค่ายเพลง Motown อยู่ 4 อัลบั้ม จนกระทั่งในปี 1975 ไมเคิลได้ย้ายค่ายไปอยู่ใรสังกัดของค่าย Epic และได้เริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวที่ 5 ภายใต้ชื่อ "Off The Wall" ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มที่ได้เริ่มสร้างชื่อเสียงและทำให้ไมเคิลเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะศิลปินเดี่ยว และก็ยังเป็นอัลบั้มแรกที่ไมเคิลเปลี่ยนแนวเพลงจาก Rhythm & Blues มาเป็นแนว Disco, Funk อย่างเต็มตัว มีเพลงที่ฮิตติดชาร์ตอยู่หลายเพลงเช่น "Don't Stop 'Till You Get Enough", "Rock With You"

และในปี 1983 ไมเคิลได้ปล่อยอัลบั้มเดี่ยวที่ 6 ในชื่อ "Thriller" โดยได้ปล่อยเพลง "The Girl Is Mine" ซึ่งจับมือร่วมกับศิลปินจากวงที่ฮอตที่สุดในยุค 60's "Paul McCartney" จากวง The Beatles และก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี โดยขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 2 ในชาร์ต Billboard Hot 100

จนกระทั่งในวันที่ 3 มกราคม 1983 ไมเคิลได้ปล่อยซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้ม ในชื่อ "Billie Jean" ซึ่งได้สร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญให้กับโลกและตัวไมเคิลเอง โดยได้ติดชาร์ตอันดับ 1 นานถึง 7 สัปดาห์ และทำให้อัลบั้ม "Thriller" กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

จริงๆแล้ว เพลงนี้เกือบจะไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มแล้ว เนื่องจาก Quincy Jones โปรดิวเซอร์ไม่ต้องการให้เพลงนี้ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้ม ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเพลงฟังดูอ่อนแอเกินกว่าที่จะอยู่ในอัลบั้มนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ควินซีเองก็ไม่ชอบไลน์เบสภายในเพลงด้วย เขาขอให้ไมเคิลตัดช่วง 29 วินาทีแรกที่เป็นช่วงอินโทรออกไป แต่กลับได้รับการตอบจากไมเคิลว่า "แต่นี่คือส่วนที่เยี่ยมที่สุดเชียวนะ มันทำให้ผมอยากที่จะเต้น"

"และเมื่อไมเคิลพูดกับเราว่า 'มันทำให้ผมอยากที่จะเต้น' พวกเราที่เหลือก็เลยหุบปากไม่พูดต่อ" ควินซีกล่าว

กล่าวกันว่าไมเคิลแจ็คสันเขียนเพลงนี้จากประสบการณ์ที่เขาและพี่น้องใน The Jackson 5 ได้พบเห็น "Billie Jean คือบุคคลนิรนาม กล่าวถึงผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่เรียกกันว่า Groupie (ผู้คลั่งไคล้ดารา) พวกเธอเดินไปมาหลังเวที ผมเขียนเพลงนี้จากประสบการณ์ที่พวกเราพี่น้องได้พบเห็นเมื่อเรายังหนุ่ม มีคนที่เป็น Billie Jean มากมาย พวกเธอเหล่านั้นล้วนอ้างว่ามีความสัมพันธ์และมีลูกกับหนึ่งในพี่น้องของเรา" ไมเคิลกล่าว

แต่ J. Randy Taraborrelli นักเขียนชีวประวัติ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ Billie Jean ไว้ในหนังสือ The Magic & The Madness ว่า Billie Jean คือประสบการณ์จริงที่เกิดกับตัวไม่เคิลเอง มีหญิงสาวคนหนึ่งได้เขียนจดหมายมาหาไมเคิลว่าเธอได้มีลูกแฝดกับไมเคิล ตัวไมเคิลผู้ที่ได้รับจดหมายทำนองนี้อยู่เป็นปกติ ก็ได้ปฏิเสธแล้วบอกว่าตนไม่เคยพบเธอและเพิกเฉยต่อจดหมาย อย่างไรก็ตาม เธอยังคงส่งจดหมายมาหาไมเคิลเรื่อยๆ พร้อมกล่าวว่าเธอรักเขาและต้องการอยู่กับเขา เธอเขียนว่าพวกเราจะมีความสุขกันมากถ้าพวกเราพร้อมลูกๆอยู่ด้วยกัน เธอคร่ำครวญว่าทำไมไมเคิลถึงปฏิเสธลูกของตัวเองได้ลงคอ จดหมายนี้รบกวนไมเคิลและทำให้เขาฝันร้ายในหลายๆคืน เหตุการณ์ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ไม่เคิลยังได้รับพัสดุที่มีรูปของเธอและรูปปืน ทำให้ไมเคิลหวาดกลัวมาก เธอยังเขียนขอร้องให้ไมเคิลฆ่าตัวตายตามวันและเวลาที่ได้ระบุไว้ และเธอเองจะฆ่าตัวตายพร้อมๆกับลูกๆของเธอด้วย หลังจากเหตุการณ์ ไมเคิลได้ทราบว่าแฟนเพลงสาวของเขาได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลประสาท

ทันทีที่ไมเคิลเริ่มเขียนเพลงนี้ ไมเคิลสัมผัสได้ว่าเพลงนี้จะต้องดังอย่างแน่นอน "นักดนตรีรู้จักองค์ประกอบที่ทำให้เพลงฮิต ทุกๆอย่างมันจะต้องถูกที่ เติมเต็ม และทำให้คุณรู้สึกดี ผมรู้สึกอย่างนั้นกับเพลง Billie Jean อย่างมาก และผมรู้ว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่ทันทีที่ผมได้เขียนมัน" ไมเคิลอธิบายว่าเขารู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างจากเพลง

ในตอกแรก Quincy Jones ต้องการจะเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น "Not My Lover" เนื่องจากกลัวจะไปซ้ำกับชื่อของนักเทนนิสหญิง Billie Jean King แต่ไมเคิลปฏิเสธ พร้อมทั้งยังขอควินซีว่าเขาขอเครดิตในการเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับควินซีด้วย เนื่องจากเดโมที่ทำมานั้นใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นอกจากนั้น ไมเคิลยังขอส่วนแบ่งพิเศษในค่าลิขสิทธิ์ด้วย คำขอนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกแย่ต่อกันไปหลายวันเลยทีเดียว

เพลงนี้ถูกมิกซ์โดย Bruce Swedien ผู้ที่โดยปกติแล้วจะมิกซ์เพลงรอบเดียวผ่าน แต่สำหรับเพลงนี้ เขาต้องใช้เวลามิกซ์ถึง 91 รอบ ควินซีได้บอกให้บรูซสร้างเสียงกลองที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน

Billie Jean คือเพลงที่มีส่วนผสมระหว่างจังหวะแนว Post-Disco, Rhythm & Blues, Funk และ Dance-Pop เข้าด้วยกัน เพลงเริ่มต้นด้วยจังหวะกลองพื้นฐานพร้อมๆกับ Hi-Hat ซึ่งใส่ Reverb ค่อนข้างหนัก หลังจากสองห้อง Hi-Hat เปิด ได้เข้ามา ตามมาติดๆด้วยไลน์เบสซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำที่สุดของเพลงนี้ มีเสียงกระซิบของไมเคิลตามมาหลังจากนั้น ปรากฎเสียงสะอึกของไมเคิลอยู่ทั่วไปภายในเพลง

MV ของเพลง Billie Jean ถือได้ว่าเป็น MV ที่มีส่วนในการปฏิวัติการทำ MV ของเพลงอื่นๆหลังจากนั้นเลยทีเดียว เนื่องจาก MV ในสมัยก่อนนั้น มักจะมีการถ่ายทำโดยให้นักร้องยืนร้องเพลงอยู่บนเวที ไม่ก็เดินร้องเพลงไปมาตามสถายที่ต่างๆมากกว่า แต่ใน MV Billie Jean ของไมเคิล เริ่มปรากฎเรื่องราวและเนื้อหาที่คล้ายกับภาพยนตร์สั้น พร้อมกับบันทึกภาพตามสถานที่ต่างๆอย่างมีรายละเอียด เหมือนเป็นการเล่าเรื่องและเป็นส่วนขยายของเพลง ทำให้ MV ตัวนี้ ส่งอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อการทำ MV ในรุ่นหลังๆต่อมา

ไม่เพียงเท่านั้น MV ตัวนี้ ยังเป็น MV ตัวแรกของคนผิวดำที่ได้ฉายบนช่อง MTV โดยก่อนหน้านี้ MTV มีนโยบายฉายแต่ MV ของคนผิวขาว โดยให้เหตุผลว่า "เพลงของคนดำนั้นไม่ร็อคพอ" สร้างความโมโหให้กับ Walter Yetnikoff ประธานค่ายเพลง CBS ของไมเคิลเป็นอย่างมาก เนื่องจากถูกปฏิเสธที่จะฉาย MV Billie Jean วอลเตอร์ขู่ MTV ว่าจะประจานให้สาธารณะและสื่อมวลชนฟังว่า MTV นั้นเหยียดผิว ทำให้ MTV ต้องจำใจฉาย MV Billie Jean ในที่สุด

แต่นั่นกลับสร้างปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับ MTV เป็นอย่างมาก เพราะจากช่องที่มีผู้ติดตามเพียงกลุ่มเล็กๆ กลับกลายเป็นช่องทีวีที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีคนดูทั่วทั้งอเมริกา MTV เปิด MV Billie Jean วนไปมาไม่หยุด เป็นเหตุทำให้ยอดขายของอัลบั้ม Thriller สูงขึ้นไปอีก ภายหลัง MTV ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องการเหยียดผิวกับสื่อมวลชน

ที่งานรำลึก "Motown 25: Yesterday, Today, Forever" ในวันที่ 25 มีนาคม 1983 ไมเคิลถูกเชิญให้ไปร่วมเล่นในงานพร้อมกับพี่น้อง The Jackson 5 ในตอนแรกไมเคิลปฏิเสธเนื่องจากไม่ต้องการที่จะแสดงร่วมกับพี่น้องอีก แต่ในภายหลัง ไมเคิลตอบรับ พร้อมขอช่วงเวลาในการแสดงเดี่ยวด้วย และแน่นอน ไมเคิลเลือกเพลง Billie Jean เป็นเพลงในการแสดงเดี่ยว

ภายในงาน มีศิลปินยุค Oldies มาร่วมแสดงอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Marvin Gaye, Smokey Robinson, Mary Wells พี่น้อง The Jackson 5 แสดงบนเวทีเป็นเวลาต่อมา หลังจากจบการแสดงของวง ก็ถึงเวลาที่ไมเคิลจะเดี่ยวบนเวที ไมเคิลในชุดสีดำ ใส่หมวก รองเท้าหนัง สวมถุงมือสีขาว เริ่มออกลีลาในการเต้น

จนเมื่อผ่านไปได้ครึ่งเพลง ไมเคิลได้สร้างปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยท่าเต้น "Moonwalk" ครั้งแรกของไมเคิล เหตุการณ์สร้างความอัศจรรย์และทำให้คนดูภายในงานกรี๊ดลั่นไปทั่ว ผู้ชมกว่า 50 ล้านคน ต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์นี้พร้อมกันเป็นครั้งแรก

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้อัลบั้ม Thriller ได้รับยอดขายที่เพิ่มขึ้นไปอีก เกิดกระแส Michael Jackson Fever ไปทั่วโลก ทุกคนแต่งตัวเหมือนไมเคิล อยากเป็นเหมือนไมเคิล จนกระทั่งบริษัทเป๊ปซี่ติดต่อขอให้ไมเคิลรับงานโฆษณา และอีกครั้งหนึ่ง ไมเคิลเลือกเพลง Billie Jean เป็นเพลง Theme

อัลบั้ม Thriller ได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีในเวลาต่อมา

ทั้งหมดนี้ ยืนยันและพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Michael Jackson เหมาะและสมควรคู่ควรกับตำแหน่ง "King of Pop" มากเพียงไหน เพลง Billie Jean ที่เกือบจะถูกถอดออกจากอัลบั้ม กลับกลายเป็นเพลงที่สร้างประวัติศาสตร์และชื่อเสียงให้กับไมเคิลอย่างมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นับว่าเป็นเพลงที่เรียบง่าย แต่ลงตัว เป็นเพลงที่ติดหูและตรึงใจคนทั้งโลกอย่างแท้จริง

แม้ว่าราชาเพลงป๊อปจะได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ศิลปินคนนี้ก็ได้ฝากผลงานและความทรงจำที่คนทั้งโลกจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงอมตะที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 มากกว่า 10 เพลง เนื้อเพลงที่เต็มไปด้วยความรักในเพื่อนมนุษย์และการเปลี่ยนโลก ที่สำคัญ ยังมีอีกหลายบทเพลงซึ่งคาดไว้ว่าไม่ต่ำกว่า 100 เพลง ที่ไมเคิลได้แต่งไว้แต่ยังไม่ได้ปล่อยออกมา ซึ่งตอนนี้ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ Sony Music ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะปล่อยเพลงของไมเคิลที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหน ออกมาเป็นอัลบั้มเรื่อยๆอย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าศิลปินคนนี้จะยังคงเป็นที่กล่าวถึงและตรึงใจคนทั้งโลกไปอีกหลาย 10 ปีเลยทีเดียว

12 สิงหาคม 2557

Album Review : Settle - Disclosure [4 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Settle
Artist : Disclosure
Year Released : 2013
Genre : House, Electro, Eurodance









ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน สำหรับคนที่ชอบเพลงสไตล์ House, EDM กับสตูดิโออัลบั้มแรกภายใต้ชื่อ "Settle" ของศิลปิน "Disclosure" สองพี่น้องจากเกาะอังกฤษ Guy และ Howard Laurence ซึ่งมีอายุเพียงแค่ 20 ต้นๆ เท่านั้น อัลบั้มนี้ผสานความเป็น Electro, House, Club Dance ได้อย่างลงตัว ตัวอัลบั้มทำออกมาได้คลีนมาก ไม่รู้สึกรกเลย จังหวะไม่หนักและไม่เบาไป ผู้ที่อยากจะลองฟังเพลงสไตล์แดนซ์แนวใหม่ๆ แต่ไม่ชอบจังหวะที่หนักมาก สามารถฟังอัลบั้มนี้ได้อย่างสบายๆ

อัลบั้มนี้ใส่ความเป็น Ambient ลงไปเล็กน้อย จุดเด่นอยู่ที่ความเป็นสไตล์ Garage House ตัวอัลบั้มมีความต่อเนื่องและเป็น Concept Album โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบเพลง "When A Fire Starts To Burn" เป็นพิเศษ ด้วยตัวจังหวะและการใช้เสียงที่หลากหลาย จัดเรียงเสียงได้ดี มีท่อนเข้าท่อนออกของแต่ละเครื่องดนตรีที่ลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่อนร้องที่ถือได้ว่าเป็น Theme หลักของเพลง ในขณะที่ดนตรีขับเคลื่อนและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ทำนองของเนื้อร้องยังอยู่ที่เดิม สร้างความรู้สึกที่แตกต่างในการฟังดี เพลง "Latch" ซึ่งปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ลแรก ฟังคล้ายๆกับเพลงของศิลปินอย่าง "Pet Shop Boys" แต่ก็ไม่ได้เหมือนไปซะทีเดียว ตัวเพลงมีรายละเอียดอะไรบางอย่างที่ลึกและซับซ้อนกว่าที่คิด แต่ไม่รก เพลงอย่าง "Second Chance" ก็ฟังดูล่องลอย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังว่ายวนอยู่ในอวกาศในความฝัน

อัลบั้มนี้อาจฟังดูไม่ค่อยติดหูเท่าไหร่ ด้วยเข้าใจว่าตัวศิลปินไม่ได้ต้องการขายความป๊อป น่าจะต้องการขายคอนเซ็ปท์อัลบั้มและคุณภาพของเสียงดนตรีมากกว่า แต่จริงๆแล้วผู้ที่ถูกใจเพลง House อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น่าจะชอบทุกๆเพลงในอัลบั้ม เหมาะเป็นอย่างมากในการเปิดสร้างบรรยากาศงานปาร์ตี้สุดหรูริมสระน้ำ โดยไม่ต้องพึ่ง DJ ผู้ที่สนใจในแนวเพลงสไตล์ House โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในวงการ DJ ควรที่จะลองหาฟังและศึกษา เพราะอัลบั้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจับเสียงนู้นเสียงนี้มาผสมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าตัวศิลปินค่อนข้างพิถีพิถันในการเลือกใช้เสียง จังหวะ และทำนองที่เรียกได้ว่าลงตัวจริงๆ

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเพลงสไตล์ House อัลบั้มนี้เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว


Musicagape : 4/5 Stars


--------------------------------------------------

11 สิงหาคม 2557

Album Review : Madonna - Madonna [4.5 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Madonna
Artist : Madonna
Year Released : 1983
Genre : Dance Pop









สมมติว่าเราอยู่ในรายการปริศนาฟ้าแลบ แล้วถูกคุณปัญญาถามว่า "อัลบั้มแรกของมาดอนน่ามีชื่อว่าอะไร"  เชื่อว่ามากกว่าครึ่งต้องตอบว่า "Like A Virgin" แต่จริงๆแล้ว เธอคนนี้มีอัลบั้มก่อนหน้าที่ทั้งเจ๋งและสนุกกว่า ด้วยซาวนด์อิเลคโทรนิคสุดล้ำชวนโยก แถมยังถือว่าล้ำสมัยมากในยุคนั้นด้วย ภายใต้ชื่อ "Madonna" ซึ่งใช้ชื่อของเธอเป็นชื่ออัลบั้ม และก็เป็นอัลบั้มที่เปิดตัวเธอเข้าสู่วงการได้อย่างสวยงาม

หลังจากพ้นยุค Disco รุ่งเรืองได้เพียงไม่นาน ก็เริ่มเกิดกระแสแนวเพลงต่างๆที่ใช้ซาวนด์อิเลคโทรนิคผสมกันอย่างเต็มรูปแบบ อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มกลุ่มแรกๆที่ได้บุกเบิกแนวเพลง Dance Pop ขึ้นมาในยุคนั้น และก็ยังถือว่ามีความทันสมัยและล้ำยุคมากในสมัยนั้น เพลงอย่าง "Lucky Star" คือตัวอย่างที่ดีมากในการแสดงให้เห็นภาพ ตัวเพลงมีเสียงสังเคราะห์เล่นไล่ขึ้นลงแทรกอยู่ตลอด จุดเด่นอีกอย่างคือเสียงเบสสังเคราะห์ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเพลงในยุค 80's เพลง "Borderline" คือเพลงที่ฟังดูสดใสแต่รู้สึกโหยหาบางอบ่าง เพลง "Burning Up" มีไลน์เบสที่ชัดมาก แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของเพลง 80's อีกเพลง เหมือนเป็นอีกเมโลดี้ที่เล่นไปพร้อมกับเสียงร้องคล้ายกับการ Counterpoint ที่ปรากฏในเพลงยุคบาโรคบ่อยๆ เพลง "I Know It" มีลักษณะ New Wave อย่างชัดเจน

เพลง "Holiday" เป็นเพลงสนุกสนาน มีการเดินคอร์ดซ้ำไปมาเหมือนเดิมซึ่งเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งในเพลงสไตล์ House เชื่อว่าผู้ฟังหลายๆคนจะต้องชอบเพลงนี้เมื่อได้ฟัง เพลง "Think Of Me" มีช่วงเริ่มต้นด้วยเสียงอิเลคโทรนิคคีย์บอร์ดที่เล่นเสียง A ซ้ำๆ เปรียบเหมือนการครุ่นคิด (หรือคิดถึง) แต่เพลงไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น ตัวเพลงยังมีลักษณะความเป็น Post-Disco อย่างเด่นชัด ซึ่งมีจังหวะชวนให้เต้นไม่เบา และแน่นอนว่าลักษณะที่เด่นชัดที่สุดยังคงเป็นไลน์เบสสังเคราะห์ เพลง "Physical Attraction" ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในทางองค์ประกอบ แต่แตกต่างกันในด้านรายละเอียดดนตรี ช่วงระหว่างเพลงมีเสียง Mallet ที่มีเมโลดี้เลียนแบบและเพื่อส่งต่อเพลง "Everybody" ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม แต่เป็นซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมา รายละเอียดและลักษณะเพลงในยุค 80's ตอนต้น ได้ถูกรวมอยู่ในเพลงนี้อย่างลงตัว

คำว่า "ล้ำยุค" น่าจะเป็นคำอธิบายอัลบั้มที่ดีที่สุดสำหรับความรู้สึกของคนในยุคนั้น ถือได้ว่าเป็นอัลบั้มแรกๆที่อยู่ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านแนวดนตรี และยังเป็นพื้นฐานให้กับเพลงในอีกหลายๆแนว เช่น House, Electro Dance เป็นต้น


Musicagape : 4.5/5 Stars


--------------------------------------------------

10 สิงหาคม 2557

Album Review : Lucky - สิงโต นำโชค [3.5 Stars] (วิจารณ์ บทความ รีวีว)

Album : Lucky
Artist : สิงโต นำโชค
Year Released : 2014
Genre : Pop, Soul









สตูดิโออัลบั้มที่ 2 ของศิลปินคุณภาพ "สิงโต นำโชค" ที่มีซิงเกิ้ลที่ฮิตติดชาร์ตตั้งแต่ปีที่แล้วและยังคงเป็นกระแสจนถึงทุกวันนี้บรรจุอยู่ในอัลบั้ม ยังคงรักษาคุณภาพไว้ได้ดีเช่นเคย ด้วยเพลงและเนื้อร้องที่ตรงใจกับคนทุกประเภท ไม่ว่าจะอกหัก บอกรัก แอบเหงา สบายๆ ทำให้อัลบั้มนี้เป็นอีกอัลบั้มที่ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนจะต้องชอบ ไม่เพลงใดก็เพลงหนึ่ง

เพลง "อยู่ต่อเลยได้ไหม" และ "อยู่อย่างเหงาๆ" ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก กลายเป็นเพลงฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ด้วยเนื้อเพลงที่กินใจและโดน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆคนและยังคงนำไปแสดงสดตามร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจนถึงทุกวันนี้ เพลง "ไปด้วยกัน" ที่ได้กลิ่นอายของ Tattoo Colour ก็สนุกสนานและเร้าอารมณ์ดี เพลงโซลอย่าง "รัก.. ที่ไม่มีเธออยู่" ได้ความรู้สึกของศิลปินอย่าง The Emotions, Sister Sledge, Shalamer เล็กๆอยู่ภายในเพลง เพลง "วิธีใช้" ที่จับมือร่วมงานกับ "แสตมป์" เนื้อร้องเล่นกับชื่อเล่นของตัวศิลปินทั้งสองได้อย่างสร้างสรรค์มาก และยังสะท้อนบุคลิกความขี้เล่นของทั้งสองได้เป็นอย่างดี เพลง "ใช้หัวใจ" ที่น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินอย่าง ETC. และ Daft Punk ก็สนุกไม่แพ้เพลงอื่นๆ

ผู้เขียนมองว่าอัลบั้มนี้ยังมีปัญหาในด้านการมิกซ์และมิติของเสียง เนื้อเสียงดนตรีฟังดูสากและดิบเกินไป ไม่แน่ใจว่าตัวศิลปินต้องการสร้างเสียงเลียนแบบเพลงในยุคเก่าๆตามแบบฉบับ Motown อยู่หรือไม่ แต่ตัวผู้เขียนยังรู้สึกว่าการเรียบเรียงและไดนามิกหรือความดังเบาของดนตรีภายในเพลงยังไม่ชัดและลงตัว ตัวดนตรีเหมือนเป็นเพียงแบ็คกราวนด์ให้กับเสียงร้อง ยังไม่รับการใส่ใจในรายละเอียดเท่าที่ควร ตัวเพลงไม่ค่อยต่อเนื่องกัน ดูคล้ายเป็นอัลบั้มรวมซิงเกิ้ลเสียมากกว่า

จริงๆแล้ว ในมุมมองของผู้เขียน สิงโต นำโชค คือศิลปินที่เก่งและมีความสามารถมากกว่าที่ปรากฎอยู่ในอัลบั้มนี้อยู่สูง ผู้เขียนเชื่อว่าหูของสิงโตต้องผ่านการฟังเพลงมาเยอะมากและเข้าใจในเรื่องมิติและคุณภาพของเสียงเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะมาตรฐานการฟังของสังคมไทยที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดของดนตรีมากนัก เราซาบซึ้งเพียงเนื้อร้องและท่วงทำนองที่โดนใจ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ศิลปินต้องผลักดันตัวเองให้ทำเพลงที่มีคุณภาพทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และมิติของดนตรี หากเรายังไม่เปิดใจและยกระดับการฟังดนตรีให้สูงขึ้น ก็คงยากที่จะมีพื้นที่ให้ศิลปินผลิตผลงานที่มีคุณภาพมากกว่าการเป็นที่ต้องการของตลาด และก็คงยาก ที่จะเห็นศิลปินไทยโกอินเตอร์และเป็นส่วนหนึ่งในระดับนานาชาติ


Musicagape : 3.5/5 Stars


--------------------------------------------------